หุ้น S&P 500 คืออะไร? เปิดประตูสู่ตลาดหุ้นอเมริกา

เคยได้ยินชื่อบริษัทดังระดับโลกอย่าง Apple, Microsoft, Amazon หรือ Google ไหมครับ/คะ? หลายคนคงรู้จักดีในฐานะบริษัทเทคโนโลยีที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรา แต่รู้ไหมว่าบริษัทเหล่านี้เป็น “พี่ใหญ่” ในตลาดหุ้นอเมริกา ซึ่งถือเป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่และมีอิทธิพลที่สุดในโลก และการจะดูว่าตลาดหุ้นอเมริกาภาพรวมเป็นอย่างไร เรามักจะดูกันที่ “ดัชนี” ซึ่งก็เหมือนเป็นเครื่องมือวัดอุณหภูมิ หรือรายงานผลสอบรวมของบริษัทกลุ่มต่างๆ นั่นแหละครับ และสองดัชนีที่นักลงทุนทั่วโลก รวมถึงนักลงทุนไทยที่สนใจลงทุนหุ้นต่างประเทศให้ความสนใจเป็นพิเศษ ก็คือ ดัชนี S&P 500 (เอสแอนด์พี 500) และ ดัชนี Nasdaq 100 (แนสแด็ก 100)

หลายคนอาจสงสัยว่า แล้ว หุ้น S&P 500 คือ หุ้นตัวไหน? จริงๆ แล้ว S&P 500 เนี่ย ไม่ได้เป็นหุ้นตัวเดียวครับ แต่เป็น “ดัชนี” ที่รวบรวมหุ้นของ 500 บริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา จัดทำขึ้นโดยบริษัท Standard & Poor’s (ปัจจุบันคือ S&P Dow Jones Indices) มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) การที่ดัชนีนี้ประกอบด้วยบริษัทใหญ่ถึง 500 แห่ง ทั้งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) และตลาดแนสแด็ก (Nasdaq) ทำให้ครอบคลุมมูลค่าตลาดหุ้นรวมกว่า 80% ของตลาดหุ้นอเมริกาทั้งหมดเลยทีเดียวครับ

เกณฑ์ในการคัดเลือกหุ้นเข้าดัชนี S&P 500 ก็ไม่ใช่แค่ใหญ่เท่านั้นนะ ยังต้องมีสภาพคล่องสูง มีสัดส่วนให้นักลงทุนรายย่อยเข้าลงทุนได้ และที่สำคัญคือ ต้องมีกำไรต่อเนื่องใน 4 ไตรมาสล่าสุดด้วย การคำนวณดัชนี S&P 500 จะใช้วิธีถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด (Market Cap. Weighted) คือบริษัทไหนมีมูลค่าตลาด (มูลค่ารวมของบริษัททั้งบริษัท) มาก ก็จะมีน้ำหนักในดัชนีมาก ทำให้การเคลื่อนไหวของหุ้นพี่ใหญ่ๆ มีผลต่อดัชนีสูงครับ ด้วยความที่ S&P 500 กระจายตัวอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรมมากๆ (ณ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2024 กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศมีสัดส่วนสูงสุดที่ 33.01% รองลงมาคือ การเงิน 12.90% การดูแลสุขภาพ 11.17% สินค้าฟุ่มเฟือย 10.21% บริการสื่อสาร 9.91% อุตสาหกรรม 7.55% สินค้าอุปโภคบริโภค 5.76% พลังงาน 3.37% และสาธารณูปโภค 2.70%) ทำให้ S&P 500 ถูกมองว่าเป็นตัวแทนที่สะท้อนภาพรวมตลาดและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้ดีที่สุดดัชนีหนึ่ง และแน่นอนว่า การเคลื่อนไหวของดัชนีนี้ก็มีผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลกด้วยครับ

ทีนี้มาดูอีกดัชนีดังคือ ดัชนี Nasdaq 100 (แนสแด็ก 100) กันบ้าง ดัชนีนี้จัดทำขึ้นโดยตลาดแนสแด็กเอง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) ประกอบด้วยบริษัทขนาดใหญ่ 100 อันดับแรก (ที่ไม่ใช่บริษัทในกลุ่มสถาบันการเงิน เช่น ธนาคาร) ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดแนสแด็ก ดัชนี Nasdaq 100 เป็นที่รู้จักกันดีว่า เป็นตัวแทนของ “หุ้นเทคโนโลยี” และหุ้นที่มีการเติบโตสูง (Growth Stocks) เพราะส่วนใหญ่เป็นบริษัทในกลุ่มนี้ การคำนวณก็ใช้วิธีถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดเหมือนกัน แต่จะมีเพดานกำหนดน้ำหนักสูงสุดของหุ้นแต่ละตัวไว้ เพื่อไม่ให้หุ้นไม่กี่ตัวมีอิทธิพลมากเกินไป (แม้ในทางปฏิบัติ หุ้นใหญ่ๆ ก็ยังมีอิทธิพลสูงอยู่ดี) สัดส่วนหุ้นในดัชนีนี้จะกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีสูงกว่า S&P 500 มากครับ

ถ้าเอา S&P 500 กับ Nasdaq 100 มาเปรียบเทียบกัน หุ้นตัวท็อปๆ บางส่วนก็คล้ายๆ กันนะ อย่างพวก Apple, Microsoft, Amazon, Nvidia แต่ความแตกต่างหลักๆ อยู่ที่ “น้ำหนัก” และ “การกระจายตัวในอุตสาหกรรม” ครับ อย่างที่บอกว่า S&P 500 กระจายตัวหลากหลายกว่า ในขณะที่ Nasdaq 100 เน้นหนักไปที่เทคโนโลยีและหุ้นเติบโตสูงมากๆ (หุ้นท็อป 5 ตัวใน Nasdaq 100 อาจมีสัดส่วนรวมกันถึงกว่า 46% เทียบกับ S&P 500 ที่หุ้นท็อป 5 ตัวมีสัดส่วนราว 23% ณ ช่วงเวลาหนึ่ง) ทำให้เวลาที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีบูม Nasdaq 100 อาจจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า S&P 500 แต่ในทางกลับกัน เวลาที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีตก Nasdaq 100 ก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงแรงกว่า และมีความผันผวนสูงกว่า S&P 500 ด้วยครับ

ฟังดูน่าสนใจใช่ไหมครับ การลงทุนในบริษัทพี่ใหญ่ของอเมริกา แต่คงเป็นเรื่องยากมากๆ ถ้าจะไปไล่ซื้อหุ้นทั้ง 500 ตัวของ S&P 500 หรือ 100 ตัวของ Nasdaq 100 โดยตรง เพราะต้องใช้เงินเยอะและติดตามเยอะมากครับ ช่องทางที่นักลงทุนทั่วไปนิยมใช้กันคือ การลงทุนผ่าน “กองทุนรวม” หรือ “กองทุน ETF (อีทีเอฟ)” ที่อ้างอิงตามดัชนีเหล่านี้ครับ

กองทุน ETF หรือ กองทุนรวมดัชนีที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เนี่ย เหมือนเราเอาเงินไปรวมกับนักลงทุนคนอื่นๆ แล้วกองทุนเขาก็จะไปซื้อหุ้นตามสัดส่วนในดัชนีนั้นๆ ให้เรา ข้อดีคือช่วยกระจายความเสี่ยงทันที เพราะเราได้ลงทุนในบริษัทจำนวนมาก แถมยังมีต้นทุน (ค่าธรรมเนียม) ต่ำกว่าการซื้อหุ้นรายตัวมากๆ ครับ ตัวอย่างกองทุน ETF ยอดนิยมที่อ้างอิง S&P 500 ก็เช่น Vanguard S&P 500 ETF (VOO), SPDR S&P 500 ETF Trust (SPY), iShares Core S&P 500 ETF (IVV) เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีช่องทางลงทุนผ่านเครื่องมืออื่นๆ เช่น Contracts for Difference (CFDs) ซึ่งเป็นการเก็งกำไรส่วนต่างราคาของดัชนี โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์จริงๆ ข้อดีคือสามารถใช้ Leverage (เงินกู้ยืมเพื่อเพิ่มอำนาจซื้อ) ได้ และทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง แต่ต้องเข้าใจว่า Leverage ก็เหมือนดาบสองคม เพิ่มโอกาสกำไร แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนมหาศาลได้เช่นกันครับ

สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ยังกังวลเรื่องการจับจังหวะตลาด หรือกลัวว่าจะซื้อตอนราคาแพงไป กลยุทธ์อย่าง Dollar-Cost Averaging (DCA) หรือการทยอยลงทุนด้วยเงินจำนวนเท่าๆ กันเป็นงวดๆ อย่างสม่ำเสมอ ก็เป็นวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนในระยะสั้นได้ดีครับ ส่วนเรื่องการเข้าถึง ปัจจุบันนักลงทุนไทยสามารถเปิดพอร์ตลงทุนหุ้นต่างประเทศกับผู้ให้บริการในไทยได้หลายแห่ง ทั้งบริษัทหลักทรัพย์ หรือบริษัทจัดการกองทุน หรือแม้แต่แพลตฟอร์มต่างประเทศบางแห่ง อย่าง Moneta Markets ที่มีตัวเลือกในการเทรดหลายแบบ ก็เป็นอีกช่องทางให้เลือกใช้ครับ

แต่จำไว้เสมอครับว่า การลงทุนมีความเสี่ยง! การลงทุนในดัชนี S&P 500 หรือ Nasdaq 100 ก็มีความเสี่ยงที่เราต้องทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจครับ

ความเสี่ยงหลักๆ ก็มี:
1. ความผันผวนของตลาด: ราคาหุ้นในดัชนีขึ้นๆ ลงๆ ได้เร็วและรุนแรง โดยเฉพาะ Nasdaq 100 ที่เน้นหุ้นเทคโนโลยีสูง อาจเจอความผันผวนมากกว่า S&P 500
2. ค่าใช้จ่ายในการลงทุน: มีค่าธรรมเนียมแฝงอยู่ เช่น ค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุน หรือค่าธรรมเนียมซื้อขาย
3. ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน: สำหรับนักลงทุนไทย เราต้องแลกเงินบาทเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อลงทุน หากค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ อาจจะส่งผลให้กำไรจากการลงทุนเป็นเงินบาทลดลง หรือขาดทุนมากขึ้นได้
4. ความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย: หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย มักจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดหุ้นโดยรวม ทำให้มูลค่าการลงทุนลดลงได้
5. ความเสี่ยงจากการจับจังหวะตลาด: การพยายามซื้อให้ได้ราคาต่ำสุดหรือขายให้ได้ราคาสูงสุดนั้นทำได้ยากมากๆ และอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดได้

ดังนั้น ก่อนลงทุนในดัชนีเหล่านี้ ควรพิจารณาให้รอบคอบครับ:
* กำหนดเป้าหมายการลงทุนให้ชัดเจน: การลงทุนในดัชนีเหล่านี้มักจะเหมาะกับเป้าหมายการลงทุนระยะยาว
* เลือกผู้ให้บริการที่ถูกกฎหมายและน่าเชื่อถือ: ตรวจสอบใบอนุญาตและประวัติของผู้ให้บริการให้ดี
* เลือกกองทุนที่เหมาะสม: เปรียบเทียบค่าธรรมเนียม สภาพคล่อง และนโยบายของกองทุนแต่ละตัว
* ติดตามผลการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ: คอยเช็คสุขภาพการลงทุนของเรา และปรับพอร์ตตามความเหมาะสม

โดยสรุปแล้ว ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq 100 เป็นสองเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงการลงทุนในบริษัทชั้นนำของสหรัฐอเมริกาได้ เป็นเหมือนประตูบานใหญ่ที่พาเราไปสู่โอกาสการเติบโตของเศรษฐกิจและเทคโนโลยีระดับโลกครับ แต่ก่อนจะก้าวเข้าไป อย่าลืมทำการบ้าน ศึกษาข้อมูล และทำความเข้าใจความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นด้วยนะครับ เพราะการลงทุนที่ดี คือการลงทุนที่เราเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ครับ

⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

Leave a Reply