หุ้น dax เต้นระบำ! รู้ทันเกมเศรษฐกิจเยอรมัน

ตลาดหุ้นทั่วโลกนี่มันเหมือนนั่งรถไฟเหาะจริงๆ นะครับ วันนี้ขึ้น พรุ่งนี้ลง ไม่ได้มีแค่บ้านเราหรืออเมริกาที่คึกคักหรือผันผวน ตลาดหุ้นยุโรปเองก็น่าสนใจไม่แพ้กัน โดยเฉพาะ “หัวใจ” ของเศรษฐกิจเยอรมันอย่าง ดัชนีหุ้น DAX 40 หรือที่หลายคนอาจจะเรียกสั้นๆ ว่า หุ้น dax นั่นแหละครับ

เพื่อนผมคนนึงที่ชอบลงทุนหุ้นต่างประเทศเคยถามผมว่า “เฮ้ย DAX มันคืออะไรวะ แล้วช่วงนี้มันเป็นไงบ้าง น่าสนใจไหม?” ผมเลยคิดว่า เออ เรื่องนี้มันใกล้ตัวกว่าที่คิดนะ เพราะบริษัทเยอรมันหลายๆ แห่งเราก็รู้จักดี ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรูๆ อุปกรณ์ไฟฟ้า หรือแม้แต่ยา ลองนึกภาพตามนะ ถ้าเศรษฐกิจเยอรมันดี บริษัทใหญ่ๆ เหล่านี้ก็น่าจะดีตาม แล้ว DAX ที่รวมเอา 40 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนีไว้ ก็เหมือนเป็นตัวแทนบอกเล่าเรื่องราวภาพรวมของเศรษฐกิจประเทศนี้เลย

ทีนี้เรามาดูกันว่า หุ้น dax มันคืออะไรกันแน่ แล้วช่วงที่ผ่านมามีอะไรน่าจับตาบ้าง

แกะกล่องทำความรู้จักหุ้น DAX: ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนหน้าจอ

เอาแบบบ้านๆ เลยนะ ดัชนี DAX 40 (German Stock Index DAX 40) ก็คือดัชนีที่ใช้วัดประสิทธิภาพของหุ้นบริษัทเยอรมันขนาดใหญ่ที่สุด 40 แห่ง ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แฟรงก์เฟิร์ต (Frankfurt Stock Exchange) ฟังดูทางการใช่ไหม? แต่มันก็เหมือนการจัดอันดับทีมฟุตบอลที่ดีที่สุด 40 ทีมของเยอรมันนั่นแหละ ยิ่งทีมเก่ง ผลงานดี อันดับรวมก็ยิ่งสูง

DAX ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1988 โน่นแล้วนะครับ ใช้ระบบการซื้อขายที่เรียกว่า XETRA เป็นหลักในการคำนวณ (ตั้งแต่ปี 1999) ความพิเศษของ หุ้น dax ที่ต่างจากดัชนีหุ้นอื่นๆ อย่าง S&P 500 ของอเมริกาคือ DAX เป็น “ดัชนีประสิทธิภาพ” (Performance Index) พูดง่ายๆ คือ เวลาบริษัทในดัชนีจ่ายเงินปันผล เงินปันผลนั้นจะถูกนำกลับมาคำนวณรวมในค่าดัชนีด้วย ไม่ใช่แค่ดูราคาหุ้นอย่างเดียว ทำให้มันสะท้อนผลตอบแทนรวมจากการลงทุนได้ดีกว่า

การคัดเลือก 40 บริษัทเข้ามาใน DAX ก็จะดูจากขนาดมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market capitalization) และสภาพคล่องในการซื้อขาย หุ้นของบริษัทไหนที่ใหญ่จริง ซื้อขายคล่องจริง ก็มีสิทธิ์เข้ามาติดโผได้ บริษัทดังๆ ที่เราอาจจะรู้จักก็อย่างเช่น SAP, Siemens, Deutsche Telekom, Allianz, BASF, Bayer อะไรพวกนี้แหละครับ

แล้ววิธีการคำนวณก็เป็นแบบถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดนี่แหละ หุ้นตัวไหนใหญ่มากในตลาด ก็มีน้ำหนักในดัชนีเยอะหน่อย แต่เขาก็มีกฎคุมไว้ว่าหุ้นตัวเดียวจะมีน้ำหนักไม่เกิน 10% ในดัชนี เพื่อไม่ให้หุ้นตัวใดตัวหนึ่งมีอิทธิพลมากเกินไปจนทำให้ดัชนีบิดเบี้ยว

เวลาซื้อขาย DAX ก็อิงตามเวลาทำการของตลาดหลักทรัพย์แฟรงก์เฟิร์ตเป็นหลัก คือประมาณ 9 โมงเช้าถึง 5 โมงครึ่งเย็นตามเวลาเยอรมนี (ซึ่งเวลาอาจจะต่างกับบ้านเราหลายชั่วโมง depending on season) แต่จริงๆ แล้วยังมีดัชนี L-DAX ที่คำนวณหลังเวลาทำการปกติ และตลาด Futures/Options ของ DAX อย่าง Eurex ที่เปิดซื้อขายยาวกว่านั้นอีก

อาการล่าสุดของหุ้น DAX: สัปดาห์นี้เป็นไง เดือนนี้เป็นไง?

ทีนี้มาดู “ไข้หวัด” หรือ “ความคึกคัก” ล่าสุดของ หุ้น dax กันบ้าง จากข้อมูลที่เรามี ณ ช่วงต้นเดือนเมษายน 2568 เนี่ย ต้องบอกว่า DAX ก็เจอความผันผวนอยู่ไม่น้อยครับ

ลองย้อนไปดูหน่อย:

* ประมาณวันที่ 18 มีนาคม 2568 เนี่ย DAX พุ่งขึ้นไปถึงจุดสูงสุดตลอดกาลเลยนะ อยู่ที่ 23,476.01 จุด โอ้โห ตอนนั้นคงมีนักลงทุนยิ้มแก้มปริกันเลยทีเดียว
* แต่หลังจากนั้น บรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยนครับ วันที่ 21 มีนาคม ก็ร่วงลงมาหน่อย ปิดที่ 22,891.68 จุด (-0.47%)
* ปลายเดือนอย่างวันที่ 28 มีนาคม ก็ยังอยู่ในช่วงขาลง ปิดที่ 22,461.52 จุด (-0.96%)
* มาถึงวันที่ 1 เมษายน 2568 (ไม่ได้โกหกนะ!) DAX ก็เด้งขึ้นมานิดหน่อย ปิดที่ 22,226.64 จุด (+1.20%)

ถ้ามองภาพรวมในช่วงสั้นๆ จากข้อมูล ณ วันที่ 1 เมษายน 2568 เนี่ย:

* สัปดาห์ล่าสุด: DAX ติดลบไป -1.85%
* เดือนล่าสุด: ก็ยังติดลบอยู่ -0.54%
* มองย้อนไป 3 เดือน: ยังทรงๆ ติดลบไปเล็กน้อย -0.10%

ดูเหมือนช่วงนี้จะออกแนวพักฐานหรือปรับตัวลงเนอะ สัญญาณทางเทคนิคบางตัวก็บอกว่าเป็นแนวโน้มขาลงด้วย พวก Oscillators หรือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ก็ออกไปทางเป็นกลางถึงมีแรงขาย

แต่… อย่าเพิ่งตกใจไป! ถ้ามองภาพยาวขึ้นล่ะ?

* ตั้งแต่ต้นปี 2568 (YTD): DAX ยังให้ผลตอบแทนเป็นบวก +2.63% นะครับ
* มองย้อนไป 1 ปี: โห นี่คือตัวเลขที่น่าทึ่ง DAX พุ่งขึ้นไปถึง +22.68%!
* และถ้ายิ่งมองยาวไป 3 ปี: ผลตอบแทนรวมสูงถึง +55.61% เลยทีเดียว

นี่แสดงให้เห็นภาพชัดๆ เลยว่า แม้ในช่วงสั้นๆ ตลาดอาจจะเจอแรงกดดันหรือมีการปรับฐาน แต่ในระยะยาวแล้ว หุ้น dax และบริษัทใหญ่ๆ ของเยอรมนีก็ยังคงสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อยู่

แล้วช่วงที่ DAX ปรับตัวลงล่าสุด มีหุ้นตัวไหนในดัชนีที่สวนกระแสขึ้นมาบ้าง หรือตัวไหนที่ร่วงหนัก? จากข้อมูลบางแหล่งบอกว่าช่วงนั้นหุ้นกลุ่มเคมีภัณฑ์อย่าง BASF หรือกลุ่มการบินอย่าง Airbus ดูจะปรับขึ้นได้ดี ในขณะที่กลุ่มเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่าง Siemens Healthineer หรืออุตสาหกรรมอย่าง Siemens (ตัวแม่) กลับปรับตัวลง

มองไปที่ตลาดหุ้นยุโรปอื่นๆ เช่น ดัชนี FTSE 100 ของอังกฤษ หรือ STOXX 50 ของยูโรโซนโดยรวม ก็มีแนวโน้มปรับตัวลงคล้ายๆ กันในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะข้อมูลอัตราเงินเฟ้อที่ออกมานี่แหละครับ

ตลาดหุ้นอเมริกาเองก็มีทั้งขึ้นทั้งลง ปรับตัวตามข้อมูลเศรษฐกิจในประเทศเขา ส่วนตลาดหุ้นเอเชียอย่างญี่ปุ่น (Nikkei 225) หรือจีน/ฮ่องกง (HANG SENG, SSE Composite) กลับดูจะปรับขึ้นได้ดีกว่าในช่วงนั้น

ปัจจัยอะไรที่ทำให้หุ้น DAX เต้นระบำ?

เหมือนร่างกายคนเราที่แข็งแรงก็มาจากหลายปัจจัย ตลาดหุ้น DAX ก็เช่นกันครับ มีหลายอย่างที่เข้ามา “กระตุก” หรือ “ผลักดัน” ให้มันขึ้นหรือลง

1. ธนาคารกลางยุโรป (ECB): “วาทยากร” หลักของยูโรโซน
นี่คือตัวแปรสำคัญที่สุดเลยครับ การตัดสินใจเรื่องนโยบายการเงินของ ECB โดยเฉพาะเรื่องอัตราดอกเบี้ย มีผลโดยตรงต่อ หุ้น dax และตลาดหุ้นยุโรปทั้งหมด
* ถ้า ECB ตัดสินใจ “ขึ้นดอกเบี้ย” เพื่อสู้กับเงินเฟ้อ มักจะทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทสูงขึ้น และการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นดูน่าสนใจน้อยลงเมื่อเทียบกับการฝากเงิน ดัชนี DAX ก็มีแนวโน้มจะปรับตัวลงครับ
* ในทางกลับกัน ถ้า ECB มองว่าเศรษฐกิจชะลอตัวและตัดสินใจ “ลดดอกเบี้ย” หรืออัดฉีดสภาพคล่อง ก็จะช่วยลดต้นทุนให้บริษัท ทำให้การลงทุนในหุ้นดูน่าดึงดูดขึ้น ดัชนี DAX ก็มีแนวโน้มจะปรับตัวขึ้น
ตอนนี้ตลาดก็กำลังจับตาดูท่าทีของ ECB อย่างใกล้ชิด ว่าจะเริ่มลดดอกเบี้ยเมื่อไหร่ และจะลดเร็วแค่ไหน

2. ตัวเลขเศรษฐกิจ: “สัญญาณชีพจร” ของเยอรมนีและยูโรโซน
ข้อมูลทางเศรษฐกิจสำคัญๆ ก็มีผลมากๆ ครับ
* อัตราเงินเฟ้อในยูโรโซน: ถ้าเงินเฟ้อยังสูง ก็ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้ ECB ต้องคงดอกเบี้ยสูง หรืออาจจะขึ้นดอกเบี้ยอีก ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อตลาดหุ้น
* ตัวเลขเศรษฐกิจเยอรมัน: แม้บางข้อมูลจะบอกว่าอาจมีผลโดยตรงต่อ DAX ไม่มากเท่า ECB แต่ตัวเลขอย่าง GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ), ยอดค้าปลีก, ข้อมูลตลาดแรงงาน, หรือดัชนี PMI (ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ) ก็สะท้อนถึงสุขภาพเศรษฐกิจของเยอรมนีโดยรวมครับ ถ้า GDP โตดี การผลิตคึกคัก คนมีงานทำ จับจ่ายใช้สอย ก็เป็นสัญญาณเชิงบวกต่อบริษัทใน DAX
* ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ: อย่าลืมว่าตลาดการเงินโลกเชื่อมโยงกันหมด ตัวเลขสำคัญจากสหรัฐฯ อย่างข้อมูลภาคการผลิต ตลาดแรงงาน หรือ GDP ก็มีผลต่อความเชื่อมั่นและทิศทางการลงทุนทั่วโลก รวมถึง หุ้น dax ด้วย

3. สถานการณ์อื่นๆ ที่คาดไม่ถึง หรือเฉพาะเจาะจง
* การเมือง: เหตุการณ์ทางการเมือง ทั้งในเยอรมนี ยุโรป หรือระดับโลก (เช่น การเลือกตั้งในประเทศสำคัญๆ ของยุโรปอย่างฝรั่งเศส) ก็สร้างความไม่แน่นอนและส่งผลต่อตลาดได้
* ข่าวบริษัท: ถ้าบริษัทใหญ่ๆ ใน DAX มีข่าวดีมากๆ (เช่น งบการเงินดีกว่าคาด เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่) หรือข่าวร้าย (เช่น โดนฟ้อง มีปัญหาการผลิต) ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของบริษัทนั้น และอาจลามไปถึงดัชนีโดยรวมได้
* ความเชื่อมั่นนักลงทุน: บางครั้งมันก็ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่มันคือ “ความรู้สึก” ของนักลงทุนทั่วโลก ถ้าคนส่วนใหญ่รู้สึกกังวล ตลาดก็อาจจะเทขาย แม้จะยังไม่มีข่าวร้ายตรงๆ ก็ตาม

อยากลองลงทุนในหุ้น DAX ทำยังไงดี?

เข้าใจแล้วว่า หุ้น dax คืออะไร มีปัจจัยอะไรบ้างที่ขับเคลื่อน แล้วถ้าสนใจอยากจะร่วมวงลงทุนกับบริษัทเยอรมันยักษ์ใหญ่พวกนี้บ้างล่ะ ทำได้ไหม?

คำตอบคือ คุณไม่สามารถ “ซื้อ” ตัวดัชนี DAX ได้โดยตรงนะครับ เพราะดัชนีเป็นแค่ตัวเลขชี้วัด แต่เราสามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่ “อิง” กับดัชนี DAX ได้หลายวิธี เช่น

1. DAX Futures และ Options: นี่เป็นเครื่องมือสำหรับนักลงทุนที่ค่อนข้างมีความเข้าใจและรับความเสี่ยงได้สูง เป็นการทำสัญญาซื้อขายดัชนีล่วงหน้า หรือซื้อสิทธิ์ในการซื้อ/ขายดัชนีในราคาที่กำหนด เหมาะกับการเก็งกำไรระยะสั้นหรือการป้องกันความเสี่ยง
2. กองทุนรวม หรือ ETF ที่อิงกับ DAX: เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกขึ้นครับ เราสามารถซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนที่นโยบายไปลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของ DAX หรือกองทุน ETF (Exchange Traded Fund) ที่ออกแบบมาเพื่อเลียนแบบผลตอบแทนของดัชนี DAX พูดง่ายๆ คือซื้อกองทุนเดียว ได้กระจายลงทุนใน 40 บริษัทใหญ่ของเยอรมันไปพร้อมกัน
3. ซื้อหุ้นรายตัวที่เป็นส่วนประกอบของ DAX: ถ้าชอบบริษัทไหนเป็นพิเศษ เช่น ชอบรถยนต์ BMW หรือ software ของ SAP ก็เลือกซื้อหุ้นของบริษัทนั้นๆ ไปเลยตรงๆ ครับ แต่ก็ต้องทำการบ้านกับหุ้นรายตัวนั้นๆ เยอะหน่อย

สำหรับการซื้อขายเครื่องมืออย่าง Futures หรือ ETF ที่อิงกับ DAX หรือแม้แต่การเทรด CFD (Contract for Difference) บน DAX เอง ก็มีหลายแพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ระดับโลกที่ให้บริการนะครับ อย่างแพลตฟอร์มประเภท Moneta Markets หรืออื่นๆ ที่คุ้นชื่อกันในวงการเทรด ก็มักจะมี DAX เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่เปิดให้เทรดได้ แต่การเลือกแพลตฟอร์มก็ต้องดูดีๆ นะครับ เลือกที่น่าเชื่อถือ มีใบอนุญาต และเหมาะกับสไตล์การลงทุนของเรา

ก่อนตัดสินใจ: อย่าลืม “อ่านฉลาก” และ “คำเตือน”

มาถึงช่วงท้ายแล้วครับ หลังทำความรู้จัก หุ้น dax กันไปพอสมควร สิ่งสำคัญที่สุดที่ผมในฐานะคอลัมนิสต์การเงินต้องย้ำเตือนคือ ความเสี่ยง ครับ

จำไว้เสมอว่า การลงทุนในตราสารทางการเงินใดๆ ก็ตาม รวมถึงหุ้น หรือเครื่องมือที่อิงกับดัชนีอย่าง DAX เนี่ย มีความเสี่ยงสูงมาก นะครับ! ราคาอาจผันผวนรุนแรง ขึ้นเร็ว ลงเร็ว เราอาจสูญเสียเงินลงทุนบางส่วนหรือทั้งหมดได้เลย ไม่ใช่แค่ปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง กฎหมาย หรือเหตุการณ์ภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ ก็ล้วนส่งผลกระทบต่อราคาได้ทั้งนั้น

โดยเฉพาะถ้าคุณใช้ “มาร์จิน” (Margin Trading) หรือการกู้ยืมเงินโบรกเกอร์มาเทรด ความเสี่ยงก็จะยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก เหมือนการเหยียบคันเร่งแรงขึ้น ถ้าไปถูกทางก็กำไรเยอะ แต่ถ้าผิดทางก็ขาดทุนหนักมากจนเงินต้นหายหมด และอาจติดหนี้ได้

ข้อมูลและราคาที่คุณเห็นบนแพลตฟอร์มต่างๆ ก็อาจจะไม่ได้เป็นแบบเรียลไทม์เป๊ะๆ หรืออาจมีความคลาดเคลื่อนได้ ไม่ควรใช้เป็นข้อมูลเดียวในการตัดสินใจซื้อขายที่สำคัญ

คำเตือนความเสี่ยง: การลงทุนในตราสารทางการเงินทุกประเภทมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนใน DAX หรือเครื่องมือที่อิงกับ DAX ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน คุณอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้ โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ และลงทุนเฉพาะเงินที่คุณพร้อมจะสูญเสียได้

บทสรุปสั้นๆ สไตล์คนเล่าเรื่อง:

หุ้น dax ก็เหมือนดัชนีชี้วัดสุขภาพของยักษ์ใหญ่เศรษฐกิจอย่างเยอรมนีครับ แม้ช่วงสั้นๆ จะเจอแรงกดดันจากหลายปัจจัย ทั้งเรื่องเงินเฟ้อในยุโรป ท่าทีของ ECB หรือข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมา ทำให้ราคาดัชนีมีการปรับตัวลงจากจุดสูงสุดตลอดกาลที่เราเห็นเมื่อกลางเดือนมีนาคม แต่ถ้ามองภาพในระยะ 1 ปี หรือ 3 ปี ย้อนหลัง ก็ยังเห็นการเติบโตและผลตอบแทนที่น่าสนใจอยู่ดี

การตัดสินใจว่าจะลงทุนใน หุ้น dax หรือบริษัทเยอรมันดีไหม จึงต้องดูปัจจัยหลายๆ อย่างประกอบกันครับ ทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและยุโรป นโยบายการเงินของ ECB ข้อมูลเศรษฐกิจของเยอรมนีเอง และที่สำคัญที่สุดคือ การประเมินความเสี่ยงของตัวเอง และต้องมั่นใจว่าเราเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังจะลงทุนจริงๆ ครับ

ถ้าเงินทุนยังไม่สูง หรือยังเป็นมือใหม่มากๆ การลงทุนผ่านกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในหุ้นยุโรปหรือหุ้นเยอรมัน อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ง่ายกว่าการไปไล่ซื้อหุ้นรายตัว หรือเทรดเครื่องมือที่ซับซ้อนอย่าง Futures ครับ

สุดท้ายนี้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าตลาดหุ้นจะไปทางไหนเป๊ะๆ หน้าที่ของเราคือการทำความเข้าใจมันให้มากที่สุด ประเมินความเสี่ยง และตัดสินใจลงทุนอย่างมีสติ บนพื้นฐานของข้อมูลและความพร้อมของเราเองครับ ขอให้ทุกคนลงทุนอย่างปลอดภัยและประสบความสำเร็จครับ!

Leave a Reply