เพื่อนสนิทของฉันชื่อ ‘น้องก้อย‘ เพิ่งมาปรึกษาว่าสนใจลงทุนใน ‘หุ้นต่างประเทศ‘ เพราะเห็นข่าวบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Apple, Microsoft หรือ Nvidia ทำกำไรมหาศาลจนน่าอิจฉา แล้วเธอก็ถามถึงชื่อแปลกๆ ที่ได้ยินบ่อยๆ ช่วงนี้อย่าง ‘แนสแด็ก‘ มันคืออะไรกันแน่? มีแต่หุ้นเทคฯ อย่างเดียวเหรอ แล้วน่าลงทุนไหมในสภาวะตลาดแบบนี้?
เอาล่ะ มาทำความรู้จัก ‘แนสแด็ก‘ (Nasdaq) กันหน่อย มันไม่ใช่แค่ชื่อเท่ๆ นะ แต่มันคือตลาดหลักทรัพย์แห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ที่โดดเด่นมากๆ เพราะใช้ระบบการซื้อขายแบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดตั้งแต่สมัยนู้น ทำให้การซื้อขายสะดวกและรวดเร็ว ถือเป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกตามมูลค่าตามราคาตลาด รองจากตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) เขาเริ่มก่อตั้งกันมาตั้งแต่ปี 1971 ที่นครนิวยอร์กนี่แหละ สกุลเงินที่ใช้ก็คือดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นสกุลหลักของโลกการเงินไปแล้ว

หัวใจหลักและจุดเด่นที่ทำให้ ‘แนสแด็ก‘ ไม่เหมือนใคร คือการเน้นไปที่บริษัทที่ใช้เทคโนโลยีเป็นพิเศษ ตั้งแต่บริษัทยักษ์ใหญ่ไปจนถึงบริษัทเล็กๆ ที่กำลังเติบโต ปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนใน ‘แนสแด็ก‘ กว่า 3,554 แห่ง (ข้อมูล ณ มกราคม 2023) รวมมูลค่าตามราคาตลาดมหาศาลถึง 18 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เวลาทำการซื้อขายปกติก็อิงตามเวลาฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ คือ 09:30 – 16:00 น. แต่เขาก็มีช่วงซื้อขายนอกเวลาทำการ (premarket และ postmarket) ให้เทรดเดอร์ซื้อขายกันได้ตั้งแต่เช้าตรู่ยันดึกเลยนะ สะท้อนความเป็นตลาดที่เปิดกว้างและทันสมัย
ทีนี้พอพูดถึง ‘หุ้นแนสแด็ก‘ ในบริบทของการลงทุนระยะยาว เรามักจะหมายถึง ‘ดัชนีแนสแด็ก 100‘ (Nasdaq 100 หรือ NDX) นี่แหละ ซึ่งเป็นดัชนีที่รวบรวมเอาบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 100 อันดับแรกที่จดทะเบียนใน ‘ตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก‘ มาไว้ด้วยกัน ยกเว้นบริษัทในกลุ่มบริการทางการเงินออกไป (เพราะกลุ่มการเงินมักจะไปอยู่ในดัชนีอื่นมากกว่า) ‘ดัชนีแนสแด็ก 100‘ นี้ถือเป็นตัวแทนของบริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรมชั้นนำของโลกอย่างแท้จริง

ลองดูรายชื่อบริษัทใน ‘ดัชนีแนสแด็ก 100‘ สิ แล้วจะร้องอ๋อเลยนะ เพราะมีทั้ง Apple, Microsoft, แอมะซอน (Amazon), เมตา แพลตฟอร์ม (Meta Platforms – เจ้าของ Facebook), อัลฟาเบท (Alphabet – บริษัทแม่ Google), เน็ตฟลิกซ์ (Netflix), เทสลา (Tesla), เอ็นวิเดีย (Nvidia), เป๊ปซี่ (Pepsi), สตาร์บัคส์ (Starbucks), โมเดอร์นา (Moderna) และ ไบโอเจน (Biogen) เห็นไหม? นี่คือบริษัทที่เราคุ้นเคยในชีวิตประจำวันทั้งนั้น ทั้งเจ้าพ่อเทคฯ ไปจนถึงแบรนด์สินค้าชื่อดังในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น โทรคมนาคม, เทคโนโลยีชีวภาพ, สื่อ, และบริการอื่นๆ ‘ดัชนี‘ นี้จะคำนวณแบบถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตามราคาตลาด หมายความว่าบริษัทไหนใหญ่ หุ้นของบริษัทนั้นก็จะส่งผลต่อการขึ้นลงของ ‘ดัชนี‘ มากกว่า
‘ดัชนีแนสแด็ก 100‘ จึงมีความสำคัญมากๆ ในฐานะ ‘ดัชนีอ้างอิง‘ สำหรับ ‘ตลาดหุ้น‘ โดยไม่รวมภาคการเงิน และสะท้อนภาพรวมของ ‘หุ้นเติบโต‘ ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งผลตอบแทนในช่วงที่ผ่านมาก็ถือว่าโดดเด่นมากๆ มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่องจากศักยภาพการเติบโตและนวัตกรรมของยักษ์ใหญ่เหล่านี้
แล้วตอนนี้บรรยากาศ ‘การลงทุน‘ ใน ‘หุ้นแนสแด็ก‘ เป็นยังไงบ้างล่ะ? น่าสนใจไหม? ภาพรวมตอนนี้ค่อนข้างผสมผสานนะ ด้านหนึ่งเราเห็นข้อมูลที่บอกว่า ‘ผู้บริโภค‘ เริ่มชะลอตัวลงนิดหน่อย สะท้อนจากตัวเลข ‘การว่างงาน‘ ที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเป็น 240,000 ราย สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ (230,000 ราย) โดยมีแรงหนุนจากรัฐมิชิแกน และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องก็เพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2021 ส่วนตัวเลข GDP ไตรมาส 1 แม้จะมีการปรับปรุงให้หดตัวน้อยลงที่ -0.2% ได้แรงหนุนจากการลงทุนภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นถึง 24.4% แต่การใช้จ่ายผู้บริโภคในการปรับปรุง GDP กลับปรับลดลงเหลือ 1.2% ก็เป็นอีกสัญญาณที่ต้องจับตา

แต่อีกด้าน บริษัทที่อยู่ใน ‘ดัชนีแนสแด็ก 100‘ หลายแห่งก็ยังรายงาน ‘ผลประกอบการ‘ ที่แข็งแกร่งสวนทางขึ้นมา แถมความตึงเครียดทางการค้าก็ดูเหมือนจะคลี่คลายลงไปบ้าง ที่น่าจับตาคือ ‘ภาคเทคโนโลยี‘ ยังคงเป็นตัวนำ ‘ตลาด‘ อย่างชัดเจน โดยเฉพาะแรงหนุนจากความเชื่อมั่นเรื่อง ‘AI’ หรือปัญญาประดิษฐ์ ที่หลายบริษัทกำลังทุ่มเทและเห็นโอกาสมหาศาล
ปัจจัยสำคัญอีกอย่างคือเรื่อง ‘นโยบายการเงิน‘ ของ ‘เฟด‘ (ธนาคารกลางสหรัฐฯ) ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อ ‘สภาพคล่อง‘ และ ‘อัตราดอกเบี้ย‘ ในระบบ ล่าสุด ‘เฟด‘ มีมติ ‘ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย‘ 0.25% สู่ระดับ 5.00% – 5.25% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี แต่ที่น่าสนใจคือ ตอนนี้ ‘ตลาด‘ ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ‘เฟด‘ น่าจะ ‘คงอัตราดอกเบี้ย‘ ในการประชุมครั้งหน้าสูงถึงกว่า 90% เลยนะ และมีโอกาสที่จะเริ่ม ‘ลดอัตราดอกเบี้ย‘ ได้ถึง 3 ครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง ถ้า ‘เงินเฟ้อ‘ ยังคงชะลอตัวลงต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยเรื่อง ‘เงินเฟ้อ‘ ที่เริ่มชะลอลงนี่แหละคือเหตุผลสำคัญที่สนับสนุนแนวคิดเรื่องการลด ‘อัตราดอกเบี้ย‘
เรื่องนี้เป็นข่าวดีที่อาจส่งผลให้ ‘ตลาดหุ้น‘ โดยรวมปรับตัวขึ้นในระยะสั้น และน่าสนใจเป็นพิเศษสำหรับ ‘หุ้นแนสแด็ก‘ เพราะในอดีต เคยมีข้อมูลที่ชี้ว่า หลัง ‘เฟด‘ ขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย ผลตอบแทนเฉลี่ย 1 ปีของ ‘ดัชนีแนสแด็ก‘ อยู่ที่ 11.5% ฟังดูดีใช่ไหมล่ะ? แต่ย้ำนะว่านี่คือข้อมูลในอดีต ไม่ได้รับประกันว่าอนาคตจะเป็นแบบนั้นเสมอไป ‘ตลาด‘ อาจจะตอบสนองแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ในช่วงเวลานั้นๆ
ใช่ว่าทุกอย่างจะโรยด้วยกลีบกุหลาบนะ ‘แนสแด็ก‘ ก็มีปัจจัยที่ต้องระวังเหมือนกัน ความไม่แน่นอนทาง ‘กฎหมาย‘ หรือนโยบายต่างๆ เช่น เรื่องภาษีศุลกากร ก็ยังเป็นสิ่งที่อาจจะฉุดรั้งการเพิ่มขึ้นของ ‘ตลาด‘ ได้ และอย่างที่บอกไป ตัวเลข ‘เศรษฐกิจ‘ ที่ออกมาแบบผสมๆ ทั้งการว่างงานที่เพิ่มขึ้น กับ GDP ที่ยังไม่แข็งแรงเต็มที่ ก็เป็นอีกสัญญาณที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด จุดจับตาต่อไปที่ทุกคนรอคอยคือ ตัวเลข ‘เงินเฟ้อ‘ ที่จะประกาศออกมาเร็วๆ นี้ และความเห็นจาก ‘เฟด‘ เกี่ยวกับทิศทาง ‘นโยบายการเงิน‘ ว่าจะส่งสัญญาณอะไรเพิ่มเติมไหม เพราะท่าทีของ ‘เฟด‘ มีผลอย่างมากต่อความเชื่อมั่นและทิศทางของ ‘ตลาดการเงิน‘ ทั่วโลก
เมื่อเห็นภาพรวมแบบนี้ หลายคนอาจจะรู้สึกว่า ‘หุ้นแนสแด็ก‘ น่าสนใจ เพราะมีแต่บริษัทชั้นนำ ดูมีโอกาสเติบโตสูง โดยเฉพาะกระแส ‘AI’ ที่มาแรงมากๆ แต่จำไว้เสมอว่า ‘การลงทุน‘ มีความเสี่ยงสูงมาก! การซื้อขาย ‘ตราสารทางการเงิน‘ ทุกชนิด ทั้ง ‘หุ้น‘, ‘ตราสารหนี้‘, ‘สินค้าโภคภัณฑ์‘, ‘เงินดิจิตอล‘ หรือแม้แต่ ‘หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง‘ ล้วนมีความเสี่ยงที่คุณอาจ ‘สูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด‘ ได้เลยนะ
ราคา ‘หุ้น‘ และ ‘ตราสาร‘ อื่นๆ ใน ‘ตลาดการเงิน‘ ผันผวนได้ตลอดเวลาจากปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้ ทั้งเรื่อง ‘นโยบายการเงิน‘, ‘กฎหมาย‘, และการเมืองในประเทศและต่างประเทศ ยิ่งถ้าคุณตัดสินใจซื้อขายด้วย ‘มาร์จิน‘ (Margin) คือการยืมเงินโบรกเกอร์มาเทรด ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว เพราะถ้าขาดทุน คุณอาจต้องเติมเงิน หรือโดนบังคับขายจนหมดตัวได้เลย
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ก่อนจะตัดสินใจ ‘ลงทุน‘ อะไรก็ตามใน ‘ตลาดการเงิน‘ โดยเฉพาะ ‘ตลาดหุ้นสหรัฐ‘ ที่มีความซับซ้อนและใช้สกุลเงินต่างประเทศ คุณต้อง ‘ตระหนักถึงความเสี่ยง‘ และ ‘ต้นทุน‘ ที่เกี่ยวข้องให้ดี และต้องเข้าใจว่าข้อมูลต่างๆ ที่คุณเห็นตามเว็บไซต์ หรือแพลตฟอร์มต่างๆ (อย่างเช่นที่มาจาก Fusion Media ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่อ้างอิงในเอกสารนี้) ‘อาจไม่ใช่แบบเรียลไทม์‘ หรือ ‘เที่ยงตรงเสมอไป‘ นะ บางครั้งอาจเป็นราคาชี้นำจากผู้ดูแลสภาพคล่อง ไม่ใช่ราคาซื้อขายจริงใน ‘ตลาดหลักทรัพย์‘ โดยตรง ดังนั้น ‘ไม่เหมาะกับการใช้ในการซื้อขาย‘ ที่ต้องอาศัยความแม่นยำสูงมากๆ
ทั้งแหล่งข้อมูลอย่าง Fusion Media หรือผู้ที่ให้ข้อมูล ก็ ‘ไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆ‘ ที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขาย หรือการพึ่งพาข้อมูลเหล่านั้น และที่สำคัญ ห้ามนำข้อมูลไปใช้, จัดเก็บ, หรือทำซ้ำ โดยไม่ได้รับอนุญาตเด็ดขาด นี่คือข้อควรระวังที่สำคัญมากๆ สำหรับนักลงทุนทุกคน
ควรศึกษาทำความเข้าใจ ‘วัตถุประสงค์การลงทุน‘, ‘ประสบการณ์‘, และ ‘ระดับการยอมรับความเสี่ยง‘ ของตัวเองก่อนเสมอ เริ่มต้นจากเงินจำนวนน้อยๆ ที่ยอมรับการสูญเสียได้ก่อนทำความเข้าใจ ‘ตลาด‘ อย่างแท้จริง และถ้าไม่แน่ใจจริงๆ การ ‘ขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ‘ ด้าน ‘การเงิน‘ ที่มีความรู้และประสบการณ์ ก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพื่อให้เขาวางแผนที่เหมาะสมกับตัวคุณจริงๆ
สรุปแล้ว ‘หุ้นแนสแด็ก‘ โดยเฉพาะ ‘ดัชนีแนสแด็ก 100‘ ก็คือบ้านของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่และ ‘หุ้นเติบโต‘ ชั้นนำของโลก เป็น ‘ตลาด‘ ที่เต็มไปด้วยโอกาสจากนวัตกรรมใหม่ๆ โดยเฉพาะในยุค ‘AI’ นี้ แนวโน้มของ ‘ตลาด‘ นี้ได้รับอิทธิพลอย่างมากจาก ‘นโยบายการเงิน‘ ของ ‘เฟด‘, ‘ตัวเลขเศรษฐกิจ‘ และกระแส ‘เทคโนโลยี‘ ต่างๆ ภาพปัจจุบันคือมีสัญญาณผสมๆ ทั้งเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงบ้าง แต่ ‘หุ้นเทคโนโลยี‘ ยังคงแข็งแกร่ง และมีโอกาสที่ ‘เฟด‘ จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยซึ่งอาจเป็นปัจจัยบวกในอนาคตได้
แต่ก่อนที่คุณจะตัดสินใจ ‘ลงทุน‘ ก้อนใหญ่ใน ‘หุ้นแนสแด็ก‘ หรือ ‘ตลาดหุ้นสหรัฐ‘ อย่าลืมกลับมาดูตัวเองก่อนนะ ‘การลงทุน‘ มีความเสี่ยง! ถ้า ‘เงินลงทุน‘ ก้อนนี้คุณต้องใช้ในเวลาอันใกล้ หรือ ‘เงินลงทุน‘ ของคุณไม่ได้มี ‘สภาพคล่อง‘ สูงมากๆ ควรประเมินอย่างรอบคอบก่อนเสมอว่าจะรับความเสี่ยงได้แค่ไหน และถ้าไม่มั่นใจ ให้ ‘ขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ‘ ด้าน ‘การเงิน‘ เพื่อให้วางแผนที่เหมาะสมกับตัวคุณจริงๆ จะได้ไม่เสียใจภายหลังนะ.