สวัสดีครับทุกท่าน! กลับมาพบกับคอลัมน์การเงินแบบเข้าใจง่าย สไตล์คนกันเองอีกแล้วนะครับ เคยไหมครับ… ตื่นเช้ามา เปิดดูข่าว แล้วเห็นตัวเลขเศรษฐกิจวิ่งขึ้นวิ่งลงเต็มไปหมด ทั้งดัชนีหุ้น น้ำมัน ทองคำ ค่าเงิน บางทีก็งงๆ ว่ามันเกี่ยวอะไรกับชีวิตเราเนี่ย? แล้วไอ้ตลาดหุ้นที่อยู่ไกลๆ อย่าง ‘เกาะอังกฤษ’ เนี่ย มันมีความเคลื่อนไหวอะไรที่น่าสนใจบ้าง วันนี้เราจะมาแกะเรื่องราวของตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะที่ สหราชอาณาจักร (United Kingdom) หรือที่บางคนอาจจะคุ้นๆ กับคำว่า ‘หุ้นอังกฤษ index’ กันแบบสนุกๆ ครับ
**ภาพรวมตลาดโลก: สหรัฐฯ คึกคักนิดๆ แต่อังกฤษดูจะซึมๆ?**
ช่วงนี้ภาพรวมตลาดการเงินโลกก็ดูจะ ‘มึนๆ งงๆ’ หน่อยครับ ทางฝั่งตลาดหุ้น สหรัฐอเมริกา (United States) ดัชนีหลักๆ ที่เราได้ยินชื่อบ่อยๆ อย่าง ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average), ดัชนี เอสแอนด์พี 500 (S&P 500) หรือ ดัชนี แนสแด็ก (Nasdaq) ก็ดูจะขยับขึ้นเล็กน้อยแบบประคองตัว ดัชนี VIX ที่เป็นตัววัดความผันผวนก็ปรับลดลง ซึ่งอาจตีความได้ว่าความกังวลในตลาดโดยรวมดูจะคลี่คลายลงบ้าง แต่พอหันมามองทางฝั่งอังกฤษ… เจ้าดัชนี FTSE 100 (ฟุตซี่ 100) ซึ่งเป็นดัชนีหลักของตลาดหุ้น สหราชอาณาจักร กลับปรับตัวลดลงนิดหน่อยครับ เอ๊ะ! มันเกิดอะไรขึ้นกับ ‘หุ้นอังกฤษ index’ กันนะ? ในขณะที่สินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำและน้ำมันก็ดูจะปรับตัวขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน ซึ่งบ่งชี้ว่ายังมีแรงซื้อในสินทรัพย์ปลอดภัยและพลังงานอยู่บ้างครับ

ปัจจัยสำคัญที่เข้ามามีบทบาทกับตลาดหุ้น สหราชอาณาจักร ในช่วงนี้หนีไม่พ้นเรื่อง ‘การเมือง’ ครับ ใช่แล้วครับ! ผลการเลือกตั้งทั่วไปที่เพิ่งผ่านพ้นไป และพรรคแรงงาน (Labour Party) ได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลาย ถือเป็นข่าวใหญ่ที่สั่นสะเทือนและสร้างความคาดหวังให้กับทิศทางเศรษฐกิจของประเทศเลยทีเดียวครับ ลองนึกภาพว่าเหมือนมี ‘ผู้จัดการทีม’ คนใหม่เข้ามาดูแลเศรษฐกิจ ซึ่งก็ต้องจับตาดูนโยบายต่างๆ ที่จะออกมาในอนาคต ว่าจะส่งผลดีหรือผลกระทบต่อภาคธุรกิจและตลาดหุ้นแค่ไหนครับ ข่าวนี้ถึงขนาดที่ วาณิชธนกิจ (Investment Bank) ชื่อดังระดับโลกอย่าง โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ยังออกมาปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจ สหราชอาณาจักร เลยนะครับ ซึ่งนี่เป็นสัญญาณที่ดีในเชิงมหภาค
นอกจากนี้ ยังมีกระแสข่าวใน วอลล์สตรีท (Wall Street) หรือย่านการเงินสำคัญของ สหรัฐอเมริกา ว่าบรรดาธนาคารใหญ่ๆ กำลังทำการบ้านอย่างหนักเพื่อมองหา ‘หุ้นอังกฤษ’ ตัวไหนบ้างที่จะได้รับอานิสงส์หรือเติบโตได้ดีภายใต้การบริหารของรัฐบาลชุดใหม่นี้ครับ นี่แสดงให้เห็นว่าแม้ตลาดจะปรับลงเล็กน้อยในวันที่มีข่าวออกมา แต่ก็ยังมีความสนใจและมองหาโอกาสในตลาด สหราชอาณาจักร อยู่ครับ แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องยอมรับว่าในภาพรวม ตลาดหุ้นยุโรปโดยรวมก็ดูจะปรับตัวลดลงเล็กน้อยหลังจากรับข่าวผลการเลือกตั้งเช่นกัน ซึ่งอาจเป็นเพราะความไม่แน่นอนที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หรือเป็นการขายทำกำไรระยะสั้นของนักลงทุนบางส่วนครับ
**ขนาดตลาดหุ้นอังกฤษ: แซงอินเดียกลับมาอีกครั้ง!**
อีกเรื่องที่น่าสนใจมากๆ เกี่ยวกับ ‘หุ้นอังกฤษ index’ ก็คือ… ตอนนี้ ‘ขนาด’ หรือ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) โดยรวมของตลาดหุ้น สหราชอาณาจักร สามารถแซงหน้าอินเดียขึ้นมาเป็นอันดับ 6 ของโลกได้อีกครั้งแล้วครับ! นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลยนะครับ เพราะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความแข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ลอนดอน (London Stock Exchange – LSE) แม้จะเผชิญความท้าทายต่างๆ มาตลอด ส่วนหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้น สหราชอาณาจักร ดูน่าสนใจขึ้นในสายตาของนักลงทุนต่างชาติก็คือเรื่องของ ‘ค่าเงินปอนด์ (GBP)’ ครับ เมื่อค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลง การลงทุนในหุ้นบริษัทอังกฤษที่เน้นการส่งออกหรือมีรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศ ก็จะดูมีราคา ‘ถูกลง’ สำหรับนักลงทุนที่ถือเงินสกุลอื่น ทำให้มีแรงจูงใจในการเข้ามาซื้อครับ ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นอินเดียเองก็มีความกังวลเกี่ยวกับประเด็นของกลุ่มบริษัท อดานี กรุ๊ป (Adani Group) ซึ่งก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลกดดันตลาดหุ้นอินเดีย และเปิดโอกาสให้ สหราชอาณาจักร กลับมาทวงตำแหน่งได้ครับ

นอกจากปัจจัยภายในประเทศแล้ว ตลาดหุ้น สหราชอาณาจักร ก็ยังได้รับอิทธิพลจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกและนโยบายการเงินของธนาคารกลางใหญ่ๆ ด้วยครับ อย่างเช่น ธนาคารกลาง สหรัฐอเมริกา หรือ เฟด (Federal Reserve – Fed) ที่ยังคงมีการหารือกันอย่างเข้มข้นเรื่องทิศทางของ อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate) จากรายงานการประชุมล่าสุด แม้กรรมการส่วนใหญ่จะเห็นด้วยกับการขึ้น อัตราดอกเบี้ย เพียง 0.25% ในการประชุมครั้งนั้น แต่ก็ยังมีกรรมการบางส่วนที่มองว่าควรขึ้นถึง 0.50% เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ (Inflation) ที่ยังคงเป็นปัญหาอยู่ครับ ส่วนในยุโรปเอง ตัวเลขเงินเฟ้อในเยอรมนีซึ่งเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ก็ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งก็เป็นปัจจัยที่ ธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank – ECB) ต้องนำมาพิจารณาในการตัดสินใจเรื่องนโยบายการเงินต่อไปครับ เรื่องเหล่านี้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและบรรยากาศการลงทุนทั่วโลก ซึ่งแน่นอนว่าตลาดหุ้น สหราชอาณาจักร ก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้นครับ
**เจาะลึก ‘ดัชนี FTSE 100’ ตัวแทน ‘หุ้นอังกฤษ index’**
เอาละครับ มาทำความรู้จักกับพระเอกของเราวันนี้ให้มากขึ้นหน่อย เจ้า ‘ดัชนี FTSE 100’ (ฟุตซี่ 100) เนี่ย มันคืออะไร? อธิบายง่ายๆ ก็เหมือนกับ ‘ตะกร้าหุ้น’ ใบใหญ่ที่รวมเอา 100 บริษัทมหาชนที่ใหญ่ที่สุดและมี มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) สูงที่สุดใน ตลาดหลักทรัพย์ ลอนดอน (London Stock Exchange – LSE) มาไว้ด้วยกันครับ ลองนึกภาพว่าเป็น ‘ทีมชาติ’ ของบริษัทชั้นนำของอังกฤษนั่นแหละครับ ดัชนีนี้สะท้อนภาพรวมสุขภาพของบริษัทขนาดใหญ่ใน สหราชอาณาจักร ได้เป็นอย่างดี
ตามข้อมูลล่าสุดที่รวบรวมมา ดัชนี FTSE 100 ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 8,203 จุด หรือ 8,559 จุด แล้วแต่ช่วงเวลาที่อ้างอิง ซึ่งมีการปรับลดลงเล็กน้อยตามที่กล่าวไปข้างต้นครับ แต่ถ้ามองย้อนไปในอดีต ดัชนีนี้เคยทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ประมาณ 8,908 จุด และเคยลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 1,717 จุด (อันนี้ย้อนไปไกลถึงปี 1988 เลยนะครับ นานมาก!) แม้จะมีการปรับลงในระยะสั้นๆ แต่ถ้าดูผลการดำเนินงานในภาพที่กว้างขึ้น ดัชนี FTSE 100 ก็ยังถือว่าแข็งแกร่งพอตัวนะครับ ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนียังบวกอยู่เกือบ 1% และที่น่าสนใจคือในรอบเดือนที่ผ่านมา ดัชนีนี้ปรับขึ้นไปถึงกว่า 6% เลยทีเดียว! ส่วนในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ก็ยังคงให้ผลตอบแทนเป็นบวกอยู่ที่ประมาณ 4% กว่าๆ ครับ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในภาพรวมระยะกลางถึงระยะยาว ตลาดหุ้น สหราชอาณาจักร ยังคงเติบโตได้ดีครับ

บริษัทตัวใหญ่ๆ ที่มีอิทธิพลกับความเคลื่อนไหวของดัชนีนี้ก็มักจะเป็นบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ที่มีธุรกิจกระจายอยู่ทั่วโลกครับ ยกตัวอย่างเช่น AstraZeneca (บริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่), HSBC Holdings (หนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลก) หรือ Shell (บริษัทพลังงานชั้นนำ) ซึ่งความแข็งแกร่งและผลประกอบการของบริษัทเหล่านี้มีน้ำหนักมากต่อการขึ้นลงของ ‘ดัชนี FTSE 100’ ครับ และก็มีหุ้นบางตัวที่ปรับตัวขึ้นโดดเด่นในรอบปีที่ผ่านมา เช่น Coca-Cola Europacific Partners (ธุรกิจเครื่องดื่ม) ในขณะที่บางตัวก็มีการปรับลดลงค่อนข้างมาก เช่น Croda International (ธุรกิจเคมีภัณฑ์) ครับ
สำหรับคนที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วเริ่มสนใจ ‘หุ้นอังกฤษ index’ หรืออยากลงทุนตามดัชนีนี้บ้าง ต้องทำความเข้าใจก่อนนะครับว่าเราไม่สามารถเดินไป ‘ซื้อ’ ตัวดัชนี FTSE 100 เพียวๆ ได้โดยตรงครับ ดัชนีเป็นเพียงตัวเลขที่สะท้อนค่าเฉลี่ยของราคาหุ้นกลุ่มหนึ่ง แต่เราสามารถลงทุนใน ‘หุ้นอังกฤษ index’ ผ่านเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ ได้ครับ เช่น การลงทุนในกองทุนรวม (Mutual Funds) หรือ กองทุนอีทีเอฟ (ETFs) ที่มีนโยบายการลงทุนอ้างอิงตามดัชนี FTSE 100 หรืออาจจะเลือกลงทุนผ่าน สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures Contracts) ที่อิงกับดัชนีนี้ก็ได้ครับ อีกวิธีที่ตรงไปตรงมาหน่อยก็คือการเลือกซื้อหุ้นรายตัวที่เราสนใจ ซึ่งเป็นส่วนประกอบของดัชนี FTSE 100 โดยตรงผ่านโบรกเกอร์ต่างๆ ครับ การเลือกวิธีการลงทุนก็ขึ้นอยู่กับความรู้ ความเข้าใจ และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของแต่ละบุคคลครับ บางแพลตฟอร์มการซื้อขายระดับโลก อย่างเช่น Moneta Markets ก็มีเครื่องมือทางการเงินเหล่านี้ให้บริการอยู่ครับ (อันนี้แค่ยกตัวอย่างให้เห็นภาพนะครับ ไม่ได้แนะนำว่าต้องใช้เจ้านี้) แต่อย่าลืมว่าทุกการลงทุนมีความเสี่ยงเสมอครับ
**สรุปและคำเตือน: มองยาวๆ เข้าไว้!**
โดยสรุปแล้ว ตลาดหุ้น ‘หุ้นอังกฤษ index’ หรือ FTSE 100 ก็เป็นตลาดที่น่าจับตามอง และได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัยทั้งภายในประเทศอย่างผลการเลือกตั้งที่สร้างความคาดหวังใหม่ๆ และปัจจัยภายนอกอย่างภาพรวมเศรษฐกิจโลก นโยบายของธนาคารกลางใหญ่ๆ ค่าเงินปอนด์ หรือแม้กระทั่งการเปรียบเทียบกับตลาดเพื่อนบ้านอย่างอินเดียครับ แม้ในระยะสั้นอาจมีความผันผวนจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือข่าวสารต่างๆ แต่ในภาพระยะกลางถึงระยะยาวที่ผ่านมาก็ยังถือว่ามีผลตอบแทนที่ดีครับ
สำหรับนักลงทุน การทำความเข้าใจว่าข่าวสารต่างๆ ที่เห็นนั้นส่งผลต่อตลาดอย่างไรเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ไม่ควรให้ความผันผวนระยะสั้นมาครอบงำการตัดสินใจทั้งหมดครับ การลงทุนใน ‘หุ้นอังกฤษ index’ หรือหุ้นในตลาดนี้ จึงควรมองภาพระยะยาว วางแผนการลงทุนให้รอบคอบ และที่สำคัญที่สุดคือ ‘กระจายความเสี่ยง’ ครับ อย่าทุ่มเงินทั้งหมดไปที่สินทรัพย์เดียวหรือตลาดเดียวครับ
⚠️ **คำเตือนที่สำคัญที่สุดที่ต้องจำให้ขึ้นใจ:** การลงทุนใน ตราสารทางการเงิน (Financial Instruments) ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นหุ้น อนุพันธ์ หรือแม้แต่ เงินดิจิทัล (Digital Assets) มีความเสี่ยงสูงมากนะครับ คุณอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดหรือบางส่วนได้ ราคาของสินทรัพย์เหล่านี้มีความผันผวนอย่างรุนแรงและตลอดเวลา โดยได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัยมากๆ ยิ่งถ้าคุณมีการซื้อขายโดยใช้ มาร์จิ้น (Margin Trading) หรือการกู้เงินมาลงทุน ความเสี่ยงก็จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
ก่อนตัดสินใจลงทุนอะไรก็ตาม โปรดศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ทำความเข้าใจลักษณะของสินทรัพย์ที่คุณจะลงทุน ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง วัตถุประสงค์การลงทุนของตัวเอง ระดับประสบการณ์ และที่สำคัญที่สุดคือความสามารถในการยอมรับความเสี่ยง (Risk Tolerance) ของตัวคุณเองให้ดีที่สุดนะครับ ข้อมูลที่เรานำเสนอในบทความนี้เป็นการรวบรวมและสรุปจากแหล่งต่างๆ เพื่อให้คุณเห็นภาพรวมเท่านั้น อาจไม่ใช่ข้อมูลแบบ เรียลไทม์ (Real-time) หรือถูกต้อง 100% ตลอดเวลา ผู้ให้บริการข้อมูลและเว็บไซต์จะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการตัดสินใจลงทุนของคุณนะครับ โปรดปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินหากคุณต้องการคำแนะนำที่เหมาะกับสถานการณ์ส่วนตัวของคุณครับ จำไว้เสมอว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนครับ!