ช่วงนี้หลายคนอาจจะรู้สึกว่าตลาดหุ้นทั่วโลกมันดูวุ่นๆ ดีจัง เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง มีแต่เรื่องให้ปวดหัว ตั้งแต่เรื่องเงินเฟ้อที่ยังไม่ยอมไปไหน นโยบายธนาคารกลางที่ทำเอาตลาดลุ้นกันตัวโก่ง ไปจนถึงสารพัดข่าวสารที่ถาโถมเข้ามา แล้วถ้าหันมาดู “หุ้นอังกฤษวันนี้” ล่ะ เป็นไงบ้าง? ตลาดที่ขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการเงินเก่าแก่แห่งหนึ่งของโลกอย่างลอนดอน ยังน่าจับตามองอยู่ไหม หรือว่าต้องระวังอะไรเป็นพิเศษ วันนี้เราจะมาคุยกันแบบเข้าใจง่ายๆ สไตล์เพื่อนเล่าให้ฟังครับ
ลองนึกภาพตามนะครับ เวลาพูดถึงตลาดหุ้นอังกฤษ เราก็ต้องนึกถึงดัชนีหลักที่เป็นเหมือนตัวแทนของตลาด นั่นก็คือ ดัชนี FTSE 100 (ฟุตซี่ 100) ชื่อนี้มาจาก Financial Times Stock Exchange 100 Index นั่นแหละครับ มันคือดัชนีที่รวมเอา 100 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน (London Stock Exchange) ตามมูลค่าตลาดมาไว้ด้วยกัน เริ่มคิดคำนวณกันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1984 (พ.ศ. 2527) โดยเริ่มจากค่าฐานที่ 1,000 จุด ซึ่งปัจจุบัน ดัชนีนี้ก็มีการคำนวณและอัปเดตแบบเรียลไทม์ให้เราได้เห็นความเคลื่อนไหวกันตลอดวัน

สำหรับ “หุ้นอังกฤษวันนี้” หรือดัชนี FTSE 100 ตัวล่าสุดที่เห็นอยู่ที่ประมาณ 8,559.33 จุดครับ มีการปรับตัวลดลงไปเล็กน้อยประมาณ −0.63% เมื่อเทียบกับเมื่อวานนี้ ฟังดูอาจจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ใช่ไหมครับ? แต่ถ้าเรามองย้อนไปดูภาพรวมในช่วงที่ผ่านมา จะพบว่าตลาดหุ้นอังกฤษ โดยเฉพาะดัชนีใหญ่อย่าง FTSE 100 กลับทำผลงานได้ค่อนข้างดีเลยนะครับ ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมายังบวกเล็กน้อยได้ 0.95% ส่วนในรอบเดือนที่แล้วพุ่งไปถึง 6.07% และในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาก็ยังให้ผลตอบแทนเป็นบวกที่ 4.21% ซึ่งถือว่าน่าสนใจทีเดียว ในอดีต ดัชนีนี้เคยทำราคาสูงสุดอ้างอิงที่ 8,908.82 จุด (ข้อมูล ณ วันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 2025) และเคยลงไปต่ำสุดที่ 1,717.70 จุด (วันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1988)
อะไรคือปัจจัยที่ช่วยหนุนให้ “หุ้นอังกฤษวันนี้” ยังดูแข็งแกร่งในภาพรวมช่วงที่ผ่านมาล่ะ? ปัจจัยหนึ่งที่หลายคนมองเห็นคือเรื่องของ “ค่าเงินปอนด์” ที่อ่อนค่าลงในช่วงก่อนหน้านี้ครับ อาจจะฟังดูแปลกๆ ว่าเงินอ่อนค่าแล้วตลาดหุ้นดีขึ้นได้ไง? แต่มันมีเหตุผลอยู่ครับ เพราะในดัชนี FTSE 100 เนี่ย ประกอบด้วยบริษัทใหญ่ๆ ระดับโลกหลายแห่ง ซึ่งมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากนอกประเทศอังกฤษ เช่น บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่อย่าง Shell (เชลล์), ธนาคารใหญ่อย่าง HSBC (เอชเอสบีซี) หรือบริษัทยาชั้นนำอย่าง AstraZeneca (แอสตร้าเซนเนก้า) เวลาที่ค่าเงินปอนด์อ่อนลง รายได้ที่บริษัทเหล่านี้ทำได้เป็นสกุลเงินต่างประเทศ พอแปลงกลับมาเป็นเงินปอนด์ ก็จะมีมูลค่ามากขึ้น ทำให้ผลประกอบการดูดีขึ้น ซึ่งสะท้อนมาถึงราคาหุ้นและตัวดัชนีนั่นเองครับ ไม่แปลกใจเลยที่ช่วงหนึ่งมีข่าวจาก Bloomberg (บลูมเบิร์ก) รายงานว่าสหราชอาณาจักรสามารถแซงหน้าอินเดียขึ้นมาเป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลกได้สำเร็จ ส่วนหนึ่งก็ได้รับแรงหนุนจากปัจจัยนี้นี่แหละครับ ตรงกันข้ามกับอินเดียที่ช่วงนั้นมีความกังวลเกี่ยวกับประเด็นของกลุ่มบริษัท Adani Group (อดานี กรุ๊ป) ด้วย

ขณะที่ “หุ้นอังกฤษวันนี้” อาจจะดูมีเรื่องบวกมาช่วยหนุน แต่เราก็ต้องไม่ลืมมองภาพใหญ่ของตลาดการเงินโลกที่ยังเต็มไปด้วยปัจจัยกดดันและผันผวนนะครับ ตัวแปรสำคัญที่ทั่วโลกจับตาคือเรื่องของ “เงินเฟ้อ” และนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักๆ โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า Fed (เฟด) รายงานการประชุมล่าสุดของ Fed (Fed Minutes) นี่แหละครับที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดอื่นๆ ทั่วโลกออกอาการ เมื่อเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่สนับสนุนการขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งล่าสุด แต่ก็มีบางส่วน เช่น คุณ James Bullard (เจมส์ บุลลาร์ด) หรือคุณ Mester (เมสเตอร์) ที่มองว่าควรขึ้นไปถึง 0.50% เลยด้วยซ้ำ ท่าทีที่ค่อนข้าง “เหยี่ยว” (Hawkish – คือพร้อมใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวด เช่น ขึ้นดอกเบี้ย) ของ Fed บวกกับสัญญาณที่บ่งชี้ว่า “เงินเฟ้อ” มันยัง “เหนียว” (sticky inflation – คือลดลงช้า หรือไม่ยอมลดลงเท่าที่คาด) เห็นได้จากตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ เช่น อัตราเงินเฟ้อผู้บริโภค (CPI) ของเยอรมนีในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็กลับมาเพิ่มขึ้น 1.0% จากเดือนก่อนหน้า และเมื่อเทียบรายปีก็ยังสูงถึง 8.7% (สูงกว่าเดือนมกราคมที่ 8.6% ด้วยซ้ำ) ปัจจัยเหล่านี้รวมกันทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลก โดยรวมถึง “หุ้นอังกฤษวันนี้” ด้วย พร้อมที่จะแกว่งตัวได้ตลอดเวลาตามข่าวสารและตัวเลขที่ออกมา
นอกเหนือจากเรื่อง “อัตราดอกเบี้ย” และ “เงินเฟ้อ” แล้ว ยังมีสัญญาณอื่นๆ ที่น่าจับตาในระบบเศรษฐกิจด้วยนะครับ เช่น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์สำคัญๆ อย่างทองคำที่วันนี้ปรับขึ้นมานิดหน่อยอยู่ที่ประมาณ 2,341.20 ดอลลาร์สหรัฐฯ และราคาน้ำมันที่อยู่ที่ประมาณ 83.60 ดอลลาร์สหรัฐฯ ก็ขยับขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน ขณะเดียวกัน ข่าวสารจากบริษัทใหญ่ๆ ก็มีผลกระทบเฉพาะเจาะจง เช่น Anglo American (แองโกล อเมริกัน) บริษัทเหมืองแร่ยักษ์ใหญ่ ที่ต้องตัดลดมูลค่าเหมืองปุ๋ยที่กำลังพัฒนาในยอร์กเชียร์ไปถึง 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะต้นทุนและระยะเวลาโครงการเพิ่มขึ้น หรือในอีกด้านหนึ่ง บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าของจีนอย่าง BYD (บีวายดี) ก็รายงานยอดขายในเดือนมิถุนายนที่ยังเติบโตได้ดี นอกจากนี้ สุขภาพการเงินภาคครัวเรือนในบางประเทศก็ส่งสัญญาณเตือน อย่างในสหรัฐฯ หนี้บัตรเครดิตพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ และอัตราการผิดนัดชำระก็เพิ่มขึ้นด้วย ทำให้ผู้เชี่ยวชาญบางส่วน เช่น คุณ Jeffrey Gundlach (เจฟฟรีย์ กุนดแลค) เริ่มมองเห็นความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะ “Hard Landing” คือเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างรุนแรง ในขณะที่บางคนก็ยังพูดถึงสถานการณ์ “No Landing” ที่เงินเฟ้อไม่ลงง่ายๆ

สำหรับคนที่สนใจ “หุ้นอังกฤษวันนี้” และอยากลองเข้าไปลงทุนในตลาดนี้ ต้องทำความเข้าใจก่อนนะครับว่า เราไม่สามารถซื้อตัวดัชนี FTSE 100 ได้โดยตรงเหมือนกับการซื้อหุ้นรายตัว แต่เราสามารถลงทุนทางอ้อมได้หลายวิธีครับ เช่น การซื้อกองทุนรวมที่ลงทุนตามดัชนีนี้ (เรียกว่า Index Fund หรือ ETF) การซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) ที่อิงกับดัชนี FTSE 100 หรือจะเลือกคัดหุ้นรายตัวที่เราสนใจจาก 100 บริษัทที่เป็นองค์ประกอบของดัชนีมาลงทุนเลยก็ได้ครับ ซึ่งหุ้นในดัชนีนี้ก็มีความหลากหลาย ทั้งในแง่อุตสาหกรรมและขนาดตลาด ลองดูบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงๆ เช่น AstraZeneca, HSBC, Shell หรือตัวที่ราคาหุ้นสูงๆ อย่าง Games Workshop (เกมส์ เวิร์คช็อป), Next (เน็กซ์), London Stock Exchange Group (กลุ่มตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน) หรือดูผลตอบแทนในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา อย่าง Coca-Cola Europacific Partners (โคคา-โคล่า ยูโรแปซิฟิก พาร์ทเนอร์ส) ที่ทำผลงานได้โดดเด่นมากๆ (+9.91K% หรือ +9,910%) หรือตัวที่อ่อนแอที่สุดอย่าง Croda International (โครดา อินเทอร์เนชันแนล) ที่ติดลบไป -36.07% การเลือกวิธีลงทุนก็ขึ้นอยู่กับความรู้ ความเข้าใจ และระดับการยอมรับความเสี่ยงของเราครับ บางแพลตฟอร์มสำหรับการซื้อขายตราสารทางการเงิน อย่าง Moneta Markets (โมเนต้า มาร์เก็ตส์) ก็มีผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นยุโรปหรือดัชนีต่างๆ ให้เลือกเทรดเช่นกัน แต่อันนี้ก็แค่ยกตัวอย่างนะครับ ไม่ได้แนะนำให้ใช้แพลตฟอร์มใดเป็นพิเศษ เพราะแต่ละเจ้าก็มีเงื่อนไขและค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกันไป เราต้องศึกษาและเปรียบเทียบเองครับ
สรุปแล้ว “หุ้นอังกฤษวันนี้” และตลาดหุ้นอังกฤษในภาพรวม แม้จะมีปัจจัยหนุนที่ทำให้ดูดีกว่าบางตลาดในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังคงอยู่ภายใต้ร่มเงาของความไม่แน่นอนในตลาดการเงินโลกทั้งหมด ปัจจัยเรื่อง “เงินเฟ้อ” ทั่วโลก และทิศทาง “อัตราดอกเบี้ย” จากธนาคารกลางต่างๆ โดยเฉพาะ Fed ยังคงเป็นตัวแปรสำคัญที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เช่นเดียวกับสัญญาณอื่นๆ ทางเศรษฐกิจที่ทยอยออกมา
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนในตลาดไหนก็ตาม ไม่ใช่แค่ “หุ้นอังกฤษวันนี้” นะครับ… สิ่งสำคัญที่สุดคือการ “ทำการบ้าน” ครับ ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ทำความเข้าใจ “ความเสี่ยง” ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน เพราะการลงทุนในตราสารทางการเงินใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นหุ้น เงินดิจิทัล หรืออื่นๆ ล้วนมีความเสี่ยงสูง รวมถึงความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้ ราคาเหล่านี้มีความผันผวนและขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจ กฎหมาย หรือการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จิน (Margin) ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงทางการเงินขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
จำไว้ว่า ข้อมูลราคาที่เราเห็นตามเว็บไซต์ต่างๆ (อย่างข้อมูลที่เราอ้างอิงมานี้ก็อาจมาจากผู้ดูแลสภาพคล่องและเป็นเพียงราคาชี้นำ ไม่ใช่เรียลไทม์ 100% เสมอไป) ควรใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเท่านั้น ไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เราจะพึ่งพาได้โดยไม่คิดวิเคราะห์
ประเมิน “วัตถุประสงค์” ในการลงทุนของเราให้ชัดเจน ประเมิน “ระดับประสบการณ์” และที่สำคัญคือ “ระดับการยอมรับความเสี่ยง” ของตัวเองให้ดี ก่อนที่จะนำเงินที่หามาอย่างยากลำบากไปลงทุนในตลาดที่มีความผันผวนสูงเช่นนี้ การลงทุนคือการเดินทางที่ต้องใช้ความรอบคอบและสติเสมอครับ.