
เคยคิดไหมว่า การลงทุนในต่างประเทศนี่มันดูไกลตัวจัง? ส่วนใหญ่เราก็คุ้นเคยกับตลาดหุ้นบ้านเรา หรืออย่างมากก็ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีแต่บริษัทเทคฯ ใหญ่ๆ ให้เราได้ยินชื่อคุ้นหู แต่พักหลังๆ เนี่ย เหมือนมีเสียงกระซิบจากอีกมุมโลกแว่วมาว่า “เฮ้! ฉันก็มีดีนะ” เสียงนั้นมาจาก ตลาดหุ้นยุโรป ครับ
ช่วงที่ผ่านมา ต้องบอกว่า หุ้นยุโรป นี่เหมือนนั่งรถไฟเหาะจริงๆ ครับ มีทั้งช่วงที่ร่วงลงไปแรงๆ ติดกันหลายวัน อย่างตอนต้นเดือนเมษายน จากความกังวลเรื่องภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่ดูเหมือนจะสร้างกำแพงการค้าขึ้นมาอีกครั้ง แต่พอกลางเดือนเมษายน สถานการณ์ภาษีดูผ่อนคลายลงหน่อย หรือมีข่าวเลื่อนออกไป ตลาดก็กลับมาหายใจคล่องขึ้น แล้วก็ฟื้นตัวขึ้นมาได้ แต่ก็มีบางช่วงที่ต้องเจอกับแรงกดดัน อย่างหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) ที่อ่อนแรงลงมา หลังจากที่บริษัท ASML (บริษัท เอเอสเอ็มแอล) ออกมาเตือนเรื่องผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ
ฟังดูแล้วอาจจะงงๆ ว่าตกลงจะไปยังไงต่อดี แต่ที่น่าสนใจมากๆ คือพอเข้าสู่ช่วงต้นปี 2568 ตลาด หุ้นยุโรป กลับมาปิดบวกและทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้ซะอย่างนั้น! อะไรคือเบื้องหลังความคึกคักนี้ล่ะ?
ปัจจัยขับเคลื่อนหลักๆ ที่ทำให้ ตลาดหุ้นยุโรป กลับมาน่าจับตา มีหลายอย่างเลยครับ อย่างแรกเลยคือการฟื้นตัวหลังจากสถานการณ์โควิด-19 (COVID-19) เริ่มคลี่คลาย ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตปกติมากขึ้น มีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ การฉีดวัคซีนก็กระจายมากขึ้น ทำให้ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจสูงขึ้นตามไปด้วย

นอกจากนี้ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของบางประเทศในยุโรป อย่างเยอรมนี (Germany) ที่เน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ก็เป็นอีกแรงหนุนสำคัญที่คาดว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจทั้งเยอรมนีและยูโรโซน (Eurozone) เติบโตได้ดี แถมเงินยูโร (Euro) ก็แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (US Dollar) และส่วนต่างของผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ระหว่างยุโรปกับสหรัฐฯ ก็แคบลง ทำให้เงินทุนบางส่วนเริ่มไหลออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ดูเหมือนจะมีราคาค่อนข้างสูงอยู่แล้ว มาสู่ ตลาดหุ้นยุโรป ที่ยังดูมีเสน่ห์ในแง่ของมูลค่า
ทีนี้ มาดูตัวเลขเศรษฐกิจกันบ้างครับ ตัวเลขล่าสุดหลายๆ ตัวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจยูโรโซนกำลังไปได้สวยเลยนะ อย่างผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product – GDP) ของยูโรโซนในไตรมาส 1/2568 ก็ขยายตัว 0.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า สูงกว่าที่หลายคนคาดการณ์ไว้ซะอีก หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยหดตัวติดกันมา 2 ไตรมาส แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่ชัดเจน
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (Purchasing Managers’ Index – PMI) ของยูโรโซน ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความรู้สึกและความเคลื่อนไหวของภาคธุรกิจ ก็พุ่งทะยานขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบหลายปีเลยครับ ทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ คำสั่งซื้อใหม่ก็เพิ่มขึ้นมากอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งสะท้อนว่าบริษัทต่างๆ เริ่มมีงานเข้ามาเยอะขึ้น ยอดขายที่รอรับรู้รายได้ก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นี่เป็นสัญญาณที่ดีว่ารายได้ของบริษัทในยุโรปมีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นในอนาคต
ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ซึ่งบอกถึงกำลังซื้อของผู้บริโภค ก็ปรับตัวขึ้นดีกว่าที่คาด โดยเฉพาะยอดขายสินค้าที่ไม่ใช่อาหาร แสดงว่าผู้คนเริ่มกลับมาใช้จ่ายเงินมากขึ้น ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของยุโรป (Economic Sentiment Indicator – ESI) ก็อยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 21 ปีเลยนะ ทั้งหมดนี้เป็นภาพที่ค่อนข้างสดใสสำหรับเศรษฐกิจยุโรปในช่วงครึ่งหลังของปีที่ผ่านมา (ซึ่งอ้างอิงจากข้อมูลบางส่วนในบทความ) และต่อเนื่องมาจนถึงต้นปีนี้
แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่นไปหมดนะครับ ตลาด หุ้นยุโรป ก็ยังคงเผชิญกับความเสี่ยงอยู่เหมือนกัน ความกังวลเรื่องสงครามการค้า โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐฯ กับจีน หรือประเทศอื่นๆ ก็ยังคงเป็นปัจจัยกดดันอยู่ มาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่อาจจะกลับมาอีกเมื่อไหร่ก็ได้ ก็เป็นเหมือนดาบที่แขวนอยู่เหนือตลาด

ปัญหาเรื่องการขาดแคลนวัตถุดิบและแรงงานก็เป็นอีกเรื่องที่น่ากังวล อาจจะจำกัดการเติบโตของภาคธุรกิจได้ รวมถึงความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ อย่างสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย (Russia) กับยูเครน (Ukraine) ซึ่งตรงนี้เองที่ทำให้หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ (Defense Industry) อย่างบริษัท Rheinmetall (บริษัท ไรน์เมทัล), Leonardo (บริษัท เลโอนาร์โด), BAE Systems (บริษัท บีเออี ซิสเต็มส์), และ Thales Group (บริษัท ทาเลส กรุ๊ป) ปรับตัวขึ้นโดดเด่นมากๆ เพราะมีการคาดการณ์ว่ายุโรปจะเร่งเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมเพื่อเสริมสร้างความมั่นคง
แล้วธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB (European Central Bank) ล่ะ มีบทบาทอะไร? แน่นอนครับว่านักลงทุนจับตาดูการประชุมและการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate) ของ ECB อย่างใกล้ชิด เพราะนโยบายการเงินมีผลโดยตรงต่อสภาพคล่องและการลงทุนในตลาด มีรายงานว่า ECB อาจจะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ หากมองเห็นสัญญาณว่าเงินเฟ้อ (Inflation) ในบางองค์ประกอบเริ่มลดลง ซึ่งเราก็ต้องคอยดูท่าทีของ ECB กันต่อไป โดยเฉพาะว่าความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับยุโรปจะส่งผลต่อการตัดสินใจของ ECB อย่างไร
มองในมุมของการลงทุน ตลาด หุ้นยุโรป ณ ช่วงต้นปี (อ้างอิงจากข้อมูลปี 2025) ยังมีเสน่ห์ในแง่ของมูลค่าอยู่ครับ อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไร (Price-to-Earnings Ratio – P/E) ของดัชนี STOXX 600 ซึ่งเป็นดัชนีที่รวมหุ้นยุโรป 600 ตัว อยู่ที่ประมาณ 14 เท่า ถ้าเทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมาที่ 15.5 เท่า ก็ถือว่าถูกกว่านะ และถ้าเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างดัชนี S&P 500 ที่ P/E สูงถึง 21 เท่า ตลาดหุ้นยุโรป ก็ดูมีความน่าสนใจกว่าในแง่ของราคา
นอกจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งแล้ว การที่เงินยูโรแข็งค่าขึ้นและส่วนต่างบอนด์ยีลด์ที่แคบลง ก็ช่วยดึงดูดเงินทุนจากต่างชาติให้ไหลเข้ามาใน ตลาดหุ้นยุโรป มากขึ้นด้วย ทำให้หุ้นยุโรปมีโอกาสเติบโตของรายได้จากการกระตุ้นเศรษฐกิจ และยังเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการกระจายความเสี่ยง (Diversification) จากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ Valuation ค่อนข้างตึงแล้ว
สำหรับธีมการลงทุนที่น่าจับตาใน ตลาดหุ้นยุโรป ทาง FINNOMENA FUNDS (ฟินโนมีนา ฟันด์ส) ได้นำเสนอไว้หลายแบบครับ เช่น:
1. Euro High Dividend (หุ้นปันผลสูงในยุโรป): คาดว่าจะได้แรงหนุนจากการที่อัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ มีแนวโน้มเป็นขาลง และเงินยูโรแข็งค่า เช่น หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค (Utilities) และกลุ่มการเงิน (Financials)
2. Euro Defenses (หุ้นเทคโนโลยีป้องกันประเทศในยุโรป): อย่างที่บอกไป หุ้นกลุ่มนี้มีแนวโน้มได้รับคำสั่งซื้อและงบประมาณลงทุนมหาศาล จากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ เช่น บริษัท Rheinmetall (บริษัท ไรน์เมทัล), Thales Group (บริษัท ทาเลส กรุ๊ป), Leonardo (บริษัท เลโอนาร์โด)
3. GRANOLAS (กลุ่มหุ้นใหญ่พื้นฐานดีในยุโรป): เป็นกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง คล้ายๆ กลุ่ม MAG7 ของสหรัฐฯ แต่เป็นเวอร์ชันยุโรป เช่น บริษัท GlaxoSmithKline (บริษัท กล้าโซสมิทไคลน์), Roche (บริษัท โรช), ASML (บริษัท เอเอสเอ็มแอล), Novo Nordisk (บริษัท โนโว นอร์ดิสค์), L’Oreal (บริษัท ลอรีอัล), LVMH (บริษัท แอลวีเอ็มเอช), AstraZeneca (บริษัท แอสตราเซเนกา), Sanofi (บริษัท ซาโนฟี่)
ถ้าสนใจจะลงทุนใน หุ้นยุโรป จริงๆ ก็ต้องทำความรู้จักกับตลาดหลักๆ และดัชนีสำคัญๆ ของเขาสักหน่อยครับ ตลาดหลักๆ ก็มี Euronext (ยูโรเน็กซ์) ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ครอบคลุมหลายประเทศ, London Stock Exchange (LSE) (ตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน) ที่เก่าแก่มาก, และ Deutsche Börse (ดอยช์ เบอร์เซอ) ที่ดูแล Frankfurt Stock Exchange (ตลาดหลักทรัพย์แฟรงก์เฟิร์ต) ของเยอรมนี ส่วนดัชนีหลักๆ ที่ใช้เป็นตัวอ้างอิงก็มี Euro Stoxx 50 (ดัชนี Euro Stoxx 50) ที่รวม 50 บริษัทใหญ่สุดในยูโรโซน หรือ Stoxx Europe 600 (ดัชนี Stoxx Europe 600) ที่ครอบคลุม 600 บริษัททั้งเล็ก กลาง ใหญ่ทั่วทวีปยุโรป หรือ FTSE 100 (ดัชนี FTSE 100) ที่เป็นของอังกฤษ
สำหรับคนที่สนใจ อาจจะลองดูแพลตฟอร์มต่างๆ ที่เปิดให้ลงทุนใน หุ้นยุโรป ได้ เช่น Moneta Markets ซึ่งมักจะมีทางเลือกและเครื่องมือหลากหลายให้พิจารณา แต่ย้ำอีกครั้งนะครับ นี่เป็นแค่ตัวอย่างชื่อแพลตฟอร์ม ไม่ได้เป็นการแนะนำให้ลงทุนที่นี่เป็นพิเศษ
สรุปแล้ว ตลาด หุ้นยุโรป ตอนนี้ถือว่ามีปัจจัยสนับสนุนหลายอย่าง ทั้งจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ตัวเลขที่บ่งชี้ถึงการเติบโต นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และ Valuation ที่ยังดูน่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดอื่น ทำให้เป็นอีกทางเลือกที่น่าพิจารณาสำหรับการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนของเรา
⚠️ แต่จำไว้เสมอว่า การลงทุนมีความเสี่ยง! แม้จะมีปัจจัยบวกเยอะแยะ แต่ความเสี่ยงเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจทั่วโลก หรือแม้แต่การกลับมาระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ๆ ก็ยังคงมีอยู่เสมอ ก่อนตัดสินใจลงทุนใน หุ้นยุโรป หรือสินทรัพย์ใดๆ ก็ตาม ควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ทำความเข้าใจความเสี่ยง และประเมินความพร้อมของตัวเองอยู่เสมอ ไม่ควรนำเงินทั้งหมดไปลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง และหากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนนะครับ