หุ้นดาวโจนส์ปิดอะไร? วิเคราะห์เจาะลึกผลกระทบต่อพอร์ตลงทุนคุณ!

เช้าวันจันทร์ที่จิบกาแฟอุ่นๆ แล้วไถฟีดข่าวการเงิน ก็ต้องเจอข่าวที่คนถามกันประจำว่า “หุ้นดาวโจนส์ปิดอะไรนะเมื่อคืน?” หรือ “วันนี้ตลาดหุ้นอเมริกาจะเป็นยังไง?” ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว แต่เชื่อมั้ยครับว่า ตัวเลขที่ขยับขึ้นลงไม่กี่จุดตรงนั้นเนี่ย มันสะท้อนเรื่องราวมากมายในโลกนี้เลยนะ

ลองนึกภาพตามง่ายๆ นะครับ ดัชนีดาวโจนส์ หรือชื่อเต็มๆ ที่ฟังดูขลังว่า “ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์” (Dow Jones Industrial Average) เนี่ย มันเหมือนเป็นพี่ใหญ่สุดในบรรดาดัชนีหุ้นอเมริกา เป็นดัชนีแรกๆ ที่เขาคิดค้นขึ้นมาเลยนะ ประกอบด้วยหุ้นของ 30 บริษัทใหญ่เบิ้มของสหรัฐอเมริกา ซึ่งตอนนี้ไม่ได้มีแต่อุตสาหกรรมจ๋าๆ แล้วนะ มีทั้งเทคโนโลยี สุขภาพ การเงิน ปนๆ กันไปหมด ถามว่าทำไมเราต้องมานั่งสนว่า หุ้นดาวโจนส์ปิดอะไร? ก็เพราะพี่ใหญ่คนนี้เขาเป็นเหมือนหน้าตาของเศรษฐกิจอเมริกาเลยไงครับ เวลาพี่เขาขยับขึ้นลง มันมักจะบอกใบ้ถึงอารมณ์ของนักลงทุนทั่วโลกด้วยนะ

ในช่วงที่ผ่านมาเนี่ย ตลาดหุ้นอเมริกา รวมถึงดาวโจนส์ (ดัชนีดาวโจนส์) ก็เจอเรื่องราวมาเยอะครับ มีทั้งวันที่พุ่งขึ้นอย่างกับติดจรวด บางทีก็ร่วงลงมาแบบใจหายวาบ ถ้าให้สรุปง่ายๆ ตลาดตอนนี้มัน “ผันผวน” (ความผันผวน) สุดๆ เลยล่ะครับ ปัจจัยที่ทำให้มันสวิงไปสวิงมาเนี่ย มาจากหลายเรื่องรวมกันเลย

ตัวการสำคัญช่วงหนึ่งเลยคือเรื่อง “สงครามการค้า” (Trade War) ที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) สมัยนั้นประกาศใช้ “มาตรการภาษีต่างตอบแทน” (Reciprocal Tariffs) กับหลายประเทศ โดยเฉพาะกับ จีน (China) เนี่ยแหละครับ เรื่องนี้สร้างความกังวล (ความกังวล) ให้นักลงทุนอย่างมาก เพราะมันแปลว่าสินค้าจะแพงขึ้น การค้าระหว่างประเทศจะลำบากขึ้น บริษัทต่างๆ อาจทำกำไรได้น้อยลง ข่าวแบบนี้แหละที่ทำให้ หุ้นดาวโจนส์ และดัชนีอื่นๆ ร่วงลงมาหนักๆ ได้เลยนะครับ จำได้เลยว่าบางช่วงข่าวภาษีทีไร ตลาดลงเกือบทุกที

แต่บางทีก็มีข่าวดีมาช่วยให้ตลาดกลับมาคึกคักนะ อย่างตอนที่มีข่าวว่า ศาลการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกา (United States Court of International Trade) สั่งเบรกมาตรการภาษีบางอย่างของทรัมป์ เรื่องนี้ก็ช่วยคลายความกังวลไปได้เปลาะหนึ่ง ทำให้ตลาดฟิวเจอร์ของ หุ้นดาวโจนส์ (Dow Jones Futures) ปรับตัวขึ้นได้เลยครับ หรือข่าวการเจรจาการค้าที่ดูจะไปในทิศทางที่ดีขึ้น อย่างข้อตกลงชั่วคราวระหว่างสหรัฐฯ กับจีน หรือสหรัฐฯ กับสหราชอาณาจักร (UK) นี่ก็เป็นปัจจัยบวกที่ทำให้นักลงทุนยิ้มได้

นอกจากเรื่องการค้าแล้ว “นโยบายการเงิน” (นโยบายการเงิน) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่เราเรียกติดปากว่า “เฟด” (Fed) ก็เป็นอีกเรื่องที่นักลงทุนจ้องตาไม่กะพริบเลยครับ ท่าทีของ เฟด เกี่ยวกับ “อัตราดอกเบี้ย” (อัตราดอกเบี้ย) มีผลกับตลาดโดยตรง ถ้า เฟด ดูจะขึ้นดอกเบี้ยเร็ว ตลาดก็อาจจะกลัวว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่ถ้า เฟด ดูจะคงดอกเบี้ย หรือส่งสัญญาณผ่อนคลาย (อย่างการทำคิวอี – Quantitative Easing) ตลาดก็อาจจะดีใจ ตัวเลขเศรษฐกิจ (ตัวเลขเศรษฐกิจ) ต่างๆ ที่ออกมาก็มีผลกับมุมมองของ เฟด ด้วยครับ

ยกตัวอย่าง ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่น่าสนใจ อย่าง “ดัชนีราคาผู้ผลิต” (PPI – Producer Price Index) ถ้าออกมาต่ำกว่าที่คาด ก็แปลว่าต้นทุนของผู้ผลิตไม่ได้พุ่งสูงนัก เรื่องนี้เป็นสัญญาณที่ดีสำหรับเงินเฟ้อ ทำให้ เฟด อาจจะไม่ต้องรีบขึ้นดอกเบี้ย มันก็เลยเป็นปัจจัยที่ดันให้ หุ้นดาวโจนส์ และตลาดหุ้นโดยรวมปรับตัวขึ้นครับ หรือตัวเลขการจ้างงาน (การจ้างงาน) ที่แข็งแกร่ง จำนวนคนที่ขอรับสวัสดิการว่างงานลดลง ก็เป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจยังไปได้ดี เรื่องเหล่านี้ช่วยหนุนตลาดหุ้น (ตลาดหุ้น) ได้เยอะเลยนะ

ช่วงหลังๆ ตัวเลขเงินเฟ้อสำคัญอย่าง PCE (Personal Consumption Expenditures Price Index) ที่ชี้ว่าเงินเฟ้อกำลังชะลอตัวลง (Disinflation) ก็เป็นอีกปัจจัยบวก ทำให้นักลงทุนมองว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันน่าจะเพียงพอในการคุมราคาแล้ว โอกาสที่ เฟด จะเร่งขึ้นดอกเบี้ยอีกก็ลดลงครับ แต่บางทีตัวเลขก็ดูจะขัดแย้งกันหน่อยนะ อย่างรายได้ส่วนบุคคลของคนอเมริกันเพิ่มขึ้น แต่การใช้จ่ายโดยรวมกลับชะลอลง คนเริ่มระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น หันไปจ่ายค่าบริการ (บริการ) มากกว่าซื้อสินค้า (สินค้า) แล้วก็เก็บออม (อัตราการออม) มากขึ้นด้วย นี่ก็เป็นอีกมุมที่ต้องจับตาดูครับ

นอกจากปัจจัยระดับมหภาคแล้ว ข่าวของบริษัทใหญ่ๆ แต่ละแห่งในดัชนีก็มีผลกับราคาปิดของหุ้นดาวโจนส์ (หุ้นดาวโจนส์ปิดอะไร) ด้วยครับ อย่างล่าสุด ข่าวผลประกอบการของ Nvidia (Nvidia) บริษัทชิปตัวท็อปที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ AI (AI) พอเขาประกาศว่าไตรมาสที่ผ่านมาทำได้ดีกว่าคาดมากๆ โดยเฉพาะรายได้จากธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center Business) หุ้น Nvidia ก็พุ่งกระฉูดเลยครับ หุ้นเทคฯ ตัวอื่นก็พลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย เรื่อง AI นี่มาแรงจริงๆ ครับ

ในทางกลับกัน ถ้ามีหุ้นตัวใหญ่ๆ ในดัชนีมีปัญหา หรือมีข่าวร้าย หุ้นดาวโจนส์ ก็อาจจะร่วงตามไปด้วยครับ ตัวอย่างเช่น หุ้นของ UnitedHealth Group (ยูไนเต็ดเฮลธ์ กรุ๊ป) บริษัทประกันสุขภาพใหญ่ ก็เคยร่วงลงมาแรงๆ ในช่วงหนึ่ง อันนี้ก็ฉุด ดัชนีดาวโจนส์ ให้ลงตามไปด้วยเหมือนกัน จะเห็นว่าการขึ้นลงของหุ้นแค่ตัวเดียวใน 30 ตัวเนี่ย ก็มีน้ำหนักพอตัวที่จะทำให้ ดัชนี ทั้งหมดขยับได้เลยนะ

ถ้าเราลองมองยาวๆ ขึ้นมาหน่อย อย่างภาพรวมสิ้นปี 2024 เนี่ย ดัชนีหุ้นหลักๆ ในสหรัฐฯ อย่าง S&P 500 (S&P 500) และ Nasdaq (Nasdaq) ก็ปรับขึ้นมาในอัตราที่สูงพอสมควรเลยนะครับ อย่าง S&P 500 เนี่ย ทำผลตอบแทนบวกได้เกิน 20% ติดกันสองปี แสดงว่าภาพระยะยาวของตลาดหุ้นอเมริกาก็ยังดูแข็งแกร่งอยู่ แม้จะมีปัจจัยลบมากวนใจในระยะสั้นก็ตาม

สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจอยากลงทุนโดยอ้างอิงกับ ดัชนีดาวโจนส์ ต้องรู้ไว้ก่อนว่าเราซื้อ ดัชนี โดยตรงไม่ได้นะครับ เหมือนเราซื้อดัชนี SET ของไทยไม่ได้นั่นแหละ แต่เราสามารถลงทุนผ่านเครื่องมืออื่นๆ ได้ เช่น ซื้อ Dow Jones Futures, ซื้อกองทุน (กองทุน) ที่ลงทุนตาม ดัชนี นี้ หรือจะเลือกซื้อหุ้นของบริษัทที่อยู่ใน 30 ตัวของ ดัชนี ดาวโจนส์ เอาเองก็ได้ครับ

สรุปแล้วการที่เราเห็นว่า หุ้นดาวโจนส์ปิดอะไร (ราคาปิดของหุ้นดาวโจนส์) ในแต่ละวันเนี่ย มันไม่ใช่แค่ตัวเลขจุดๆ เดียว แต่มันคือผลรวมของเรื่องราวมากมาย ทั้งนโยบายรัฐบาล การค้าโลก ตัวเลขเศรษฐกิจ ผลประกอบการบริษัท และอารมณ์ของนักลงทุนทั่วโลกที่ผสมปนเปกันไป เหมือนกับชีวิตเรานั่นแหละครับ ที่มีทั้งวันดีๆ วันที่เจอเรื่องท้าทาย

ก่อนจะจบบทความนี้ อยากจะฝากไว้เหมือนที่คอลัมนิสต์การเงินดีๆ ทุกคนต้องเตือนกันนะครับว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง” ครับ ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ตราสารทางการเงิน (Financial Instruments) หรือแม้แต่เงินดิจิตอล (Digital Currency) ราคามันผันผวนได้ตลอดเวลา บางทีอาจจะเสียเงินลงทุนไปทั้งหมดเลยก็ได้ โดยเฉพาะถ้ามีการซื้อขายโดยใช้มาร์จิน (Margin) หรือใช้เลเวอเรจ (Leverage) ในผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ (Derivatives) เนี่ย ความเสี่ยงจะสูงขึ้นไปอีกหลายเท่าตัวเลยนะครับ

ข้อมูลหรือราคาหุ้นที่เราเห็นตามเว็บไซต์ต่างๆ บางทีก็ไม่ใช่ราคาแบบเรียลไทม์เป๊ะๆ นะครับ อาจจะมีความคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง ใช้เป็นแค่ข้อมูลอ้างอิง (Reference Price) เท่านั้น ไม่เหมาะกับการเอาไปใช้ซื้อขายทันทีทันใด เพราะงั้นก่อนจะตัดสินใจลงทุนอะไร ต้องศึกษาให้ดี ทำความเข้าใจวัตถุประสงค์ของตัวเอง ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และถ้าไม่แน่ใจจริงๆ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินที่ไว้ใจได้นะครับ อย่าเพิ่งทุ่มเงินก้อนโตไปกับสิ่งที่เรายังไม่เข้าใจถ่องแท้นะครับ

⚠️ **คำเตือน:** การลงทุนในตราสารทางการเงินมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดหรือมากกว่าเงินฝากเริ่มต้น ควรทำความเข้าใจและบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน และพิจารณาขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่เป็นอิสระเสมอ

Leave a Reply