หุ้นดาวโจนส์คืออะไร? ทำไมนักลงทุนไทยต้องรู้! วิเคราะห์เจาะลึกฉบับเข้าใจง่าย

เปิดข่าวเช้ามาทีไร เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยได้ยินคำว่า “ดาวโจนส์” ลอยมาเข้าหูกันบ้างใช่ไหมครับ บางทีก็ขึ้น บางทีก็ลง ทำเอาตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยของเราพลอยมีสีสัน (หรือบางทีก็ซีดเซียว) ตามไปด้วย แล้วไอ้เจ้า **หุ้นดาวโจนส์ คือ** อะไรกันแน่? ทำไมถึงมีอิทธิพลขนาดนั้น วันนี้ในฐานะคอลัมนิสต์การเงินที่ชอบเล่าเรื่องยากๆ ให้เข้าใจง่ายๆ จะพาไปทำความรู้จักกับ “ตาเฒ่าดาวโจนส์” ดัชนีตลาดหุ้นระดับตำนานของโลกกันครับ

**หุ้นดาวโจนส์ คือ** ชื่อเรียกย่อๆ ของ “ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์” (Dow Jones Industrial Average) หรือที่วงการนักลงทุนเขาเรียกกันสั้นๆ ว่า DJIA, Dow Jones, DJI หรือแค่ Dow 30 ก็ได้ เจ้าดัชนีตัวนี้ต้องบอกว่าเป็นพี่ใหญ่สุดเก๋าในวงการตลาดหุ้นเลยครับ เพราะเป็นหนึ่งในดัชนีทางการเงินที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2426 หรือ ค.ศ. 1883 โน่นเลย คิดดูสิครับ อายุมากกว่า 140 ปี! ตั้งชื่อตามสองผู้ยิ่งใหญ่ในยุคนั้นคือ คุณชาลส์ ดาว (Charles Dow) และ คุณเอ็ดเวิร์ด โจนส์ (Edward Jones) ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Dow Jones & Company

ตอนแรกเริ่มเดิมที เจ้าดาวโจนส์ไม่ได้มี 30 บริษัทเหมือนตอนนี้หรอกครับ เริ่มต้นแค่ 12 บริษัทเอง แล้วก็ค่อยๆ ปรับเพิ่มมาเป็น 30 บริษัทในปี พ.ศ. 2471 (ค.ศ. 1928) น่าสนใจตรงที่หุ้น 12 ตัวแรกสุดที่เคยอยู่ในดัชนีนี้ ตอนนี้ถูกคัดออกไปหมดแล้ว สะท้อนให้เห็นเลยว่าโลกธุรกิจเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ใครไม่ปรับตัวก็อาจจะไม่ได้ยืนอยู่ในทำเนียบดาวเด่นตลอดไป

แล้วใครบ้างที่อยู่ในทำเนียบ “ดาวเด่น” 30 บริษัทของดาวโจนส์? พูดง่ายๆ คือเป็นบริษัทขนาดใหญ่มากๆ ที่เป็น “บลูชิป” ของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาครับ เป็นบริษัทที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมต่างๆ หุ้นเหล่านี้ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ใหญ่ของอเมริกา ทั้งตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) และตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก (NASDAQ) ถ้าดูข้อมูล ณ วันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 ก็มีตั้งแต่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Apple (AAPL), Microsoft (MSFT), Salesforce (CRM) ไปจนถึงบริษัทด้านสุขภาพอย่าง UnitedHealth (UNH), Johnson & Johnson (JNJ) หรือบริษัทค้าปลีกอย่าง Walmart (WMT) ซึ่งบริษัทเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีผลต่อเศรษฐกิจและชีวิตผู้คนในวงกว้างทั้งสิ้น

**วิธีคำนวณดัชนีดาวโจนส์ คือ** อีกจุดที่ทำให้มันแตกต่างจากดัชนีส่วนใหญ่ครับ ดัชนีส่วนใหญ่ทั่วโลก รวมถึงดัชนีหลักอื่นๆ ของอเมริกาเองอย่าง S&P 500 หรือ NASDAQ Composite เนี่ย เขาใช้วิธี “ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าบริษัท” (Market Cap Weighted Index) คือบริษัทไหนมีมูลค่าตลาดรวมสูง (เอาจำนวนหุ้นคูณราคาหุ้น) ก็จะมีอิทธิพลต่อดัชนีมาก แต่ดาวโจนส์ใช้แบบ “ถ่วงน้ำหนักตามราคาหุ้น” (Price Weighted Index) ตรงๆ เลยครับ แปลว่าหุ้นตัวไหนราคาต่อหุ้นสูงๆ ก็จะมีน้ำหนักต่อดัชนีมากกว่า ถึงแม้ว่ามูลค่าบริษัทโดยรวมอาจจะไม่ใช่ที่หนึ่งก็ตาม วิธีนี้เป็นวิธีเก่าแก่ ซึ่งก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป

ทีนี้ นอกเหนือจากดาวโจนส์แล้ว ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีดัชนีสำคัญอีกสองตัวที่นักลงทุนควรรู้จักครับ นั่นคือ:

1. **ดัชนีแนสแด็ก คอมโพสิต (NASDAQ Composite):** อันนี้จะเน้นไปที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสูงเป็นหลักครับ แต่ก็มีหุ้นจากอุตสาหกรรมอื่นๆ ทั่วไปที่ซื้อขายบนตลาดหลักทรัพย์แนสแด็กอยู่ด้วย มีจำนวนบริษัทมากกว่า 2,000 บริษัทเลยทีเดียว ตัวนี้คำนวณแบบถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดครับ ถ้าใครสนใจหุ้นเทคฯ จ๋าๆ ก็จะมองดัชนีนี้เป็นพิเศษ
2. **ดัชนีเอสแอนด์พี 500 (S&P 500):** สร้างโดยบริษัท Standard & Poor’s ในปี พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) ตัวนี้จะครอบคลุมหุ้น 505 ตัวจาก 500 บริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ที่ผ่านเกณฑ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมูลค่า การซื้อขาย หรือผลกำไร ถือเป็นตัวแทนสุขภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมที่กว้างกว่าดาวโจนส์ คำนวณแบบถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดเช่นกัน

ถ้าให้เปรียบเทียบง่ายๆ นะครับ ดาวโจนส์ก็เหมือนกลุ่ม “ผู้อาวุโส” หรือ “แกนนำ” 30 คนในหมู่บ้าน S&P 500 ก็เหมือนตัวแทน 500 ครัวเรือนที่ใหญ่ที่สุดในเมือง สะท้อนภาพรวมเมืองได้ค่อนข้างดี ส่วน NASDAQ Composite ก็เหมือนกลุ่ม “คนรุ่นใหม่” หรือ “ธุรกิจนวัตกรรม” ในเมืองนั้นๆ ครับ แม้วิธีคำนวณและกลุ่มบริษัทจะต่างกัน แต่ทั้งสามดัชนีนี้ก็มักจะได้รับอิทธิพลจากปัจจัยใหญ่ๆ คล้ายคลึงกัน และในบางช่วงเวลา ดัชนีที่เน้นเทคโนโลยีอย่าง NASDAQ ก็อาจจะให้ผลตอบแทนที่พุ่งแรงกว่า อย่างที่เราเห็นในช่วงหลังปี 2000 เป็นต้นมา

แล้วอะไรคือ “ปัจจัยขับเคลื่อน” ที่ทำให้ **หุ้นดาวโจนส์ คือ** จุดสนใจและราคาขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดล่ะ? ปัจจัยเหล่านี้มีมากมายเลยครับ ลองนึกภาพตามนะครับ เหมือนร่างกายของเราที่มีหลายปัจจัยส่งผลต่อสุขภาพ ดัชนีดาวโจนส์ก็เหมือนกันครับ:

* **ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ:** ข้อมูลสำคัญๆ เกี่ยวกับสุขภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ เช่น ตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP), อัตราการว่างงาน, อัตราเงินเฟ้อ พวกนี้ออกมาทีไร ตลาดก็พร้อมจะปรับตัวทันที เหมือนเวลาเราได้ผลตรวจสุขภาพประจำปีนั่นแหละครับ
* **นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed):** การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ย หรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของ Fed มีผลอย่างมากต่อตลาดหุ้นครับ ถ้าดอกเบี้ยถูก การกู้ยืมก็ง่าย บริษัทลงทุนเยอะขึ้น คนใช้จ่ายมากขึ้น ตลาดหุ้นก็มีแนวโน้มดี แต่ถ้าดอกเบี้ยแพงขึ้น ก็อาจจะตรงกันข้าม
* **เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์:** เรื่องราวใหญ่ๆ ระดับโลก เช่น การเลือกตั้งในประเทศมหาอำนาจ, สงครามการค้า, ข้อตกลงระหว่างประเทศ หรือแม้แต่ความขัดแย้งทางทหารที่ไม่คาดคิด เหตุการณ์เหล่านี้สร้างความไม่แน่นอนและส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลกแน่นอนครับ
* **ผลประกอบการของบริษัท:** อันนี้ตรงไปตรงมาเลยครับ ถ้า 30 บริษัทยักษ์ใหญ่ในดัชนีทำกำไรดี มีข่าวดี ตลาดก็คึกคัก แต่ถ้าบริษัทไหนมีปัญหา หรือภาพรวมผลประกอบการไม่ดี ดัชนีก็อาจจะได้รับแรงกดดันครับ (ยกตัวอย่างบริษัท Dow Inc. ที่อยู่ในดัชนี การที่หุ้น Dow Inc. ราคาขึ้นลงก็ส่งผลต่อภาพรวมของ DJIA โดยตรง เพราะบริษัทนี้มีน้ำหนักในดัชนี)
* **ความเชื่อมั่นของตลาด:** บางทีก็เป็นเรื่องของ “ความรู้สึก” ครับ ถ้าทุกคนเชื่อว่าเศรษฐกิจจะดี นักลงทุนก็พร้อมจะซื้อหุ้น ทำให้ตลาดขึ้น แต่ถ้าทุกคนกังวล ตื่นตระหนก ตลาดก็พร้อมจะเทขายได้อย่างรวดเร็ว เรื่องจิตวิทยาการลงทุนก็สำคัญไม่แพ้ตัวเลขเลย
* **อัตราแลกเปลี่ยน:** ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็มีผลครับ โดยเฉพาะกับบริษัทที่มีรายได้จากต่างประเทศ

แล้วในฐานะนักลงทุนไทยอย่างเรา ทำไมต้องมานั่งสนใจ **หุ้นดาวโจนส์ คือ** อะไร หรือมันจะขึ้นจะลงยังไงด้วยล่ะ? ง่ายๆ เลยครับ เพราะตลาดหุ้นทั่วโลกมันเชื่อมโยงกันหมดนั่นแหละครับ โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลก การเคลื่อนไหวของดัชนีสำคัญๆ อย่างดาวโจนส์, NASDAQ, S&P 500 มีผลกระทบโดยตรงต่อตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทย (SET Index) ของเราด้วยครับ

ลองนึกภาพดูนะครับ เวลาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดี การลงทุนไหลเข้าอเมริกา เงินทุน (Fund Flow) อาจจะไหลออกจากตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทยไป หรือถ้าเศรษฐกิจโลกมีปัญหา ตลาดหุ้นอเมริกาก็ผันผวน ตลาดหุ้นไทยเราก็ยากที่จะยืนอยู่คนเดียวโดยไม่รู้สึกอะไรเลยครับ การติดตามดัชนีต่างประเทศ โดยเฉพาะดัชนีสหรัฐฯ จึงช่วยให้เราเข้าใจภาพรวมเศรษฐกิจโลกและจิตวิทยาการลงทุนในระดับสากล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นไทยด้วยครับ ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านก็บอกตรงกันว่าทิศทางหลักของ Dow Jones มักจะไปในทางเดียวกับ SET Index ในระยะยาว

สำหรับใครที่อยากลองลงทุนใน **หุ้นดาวโจนส์ คือ** อะไรที่จับต้องได้ไหม? คำตอบคือ “ได้” ครับ มีหลายวิธีเลยที่เราจะสามารถมีส่วนร่วมกับการเคลื่อนไหวของดัชนีนี้ได้:

1. **ลงทุนผ่านกองทุนรวม:** วิธีนี้ง่ายที่สุดและเหมาะกับนักลงทุนมือใหม่ครับ มีกองทุนรวมที่ไปลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีดาวโจนส์ หรือกองทุนที่ลงทุนตามดัชนีนี้โดยตรง บางกองทุนอาจจะเป็นกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีด้วยครับ
2. **ซื้อขาย Dow Jones Futures:** อันนี้เป็นตราสารอนุพันธ์ เหมาะกับนักลงทุนที่มีความรู้และประสบการณ์มากขึ้น มีการใช้เลเวอเรจ ทำให้มีโอกาสได้กำไรสูง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงตามไปด้วย
3. **ลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบโดยตรง:** ถ้าเรามีความรู้เรื่องหุ้นรายตัว และมีบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศ ก็สามารถเลือกซื้อหุ้น 30 ตัวที่อยู่ในดัชนีได้โดยตรงครับ
4. **เทรดผ่านแพลตฟอร์ม Forex/CFD:** แพลตฟอร์มเหล่านี้มักจะมีผลิตภัณฑ์ที่อ้างอิงกับดัชนีหุ้นต่างๆ รวมถึงดาวโจนส์ให้ซื้อขายได้ วิธีนี้ก็มีการใช้เลเวอเรจสูงเช่นกัน

ไม่ว่าจะเลือกวิธีไหนก็ตาม สิ่งที่ต้องจำให้ขึ้นใจเลยคือ **”ความเสี่ยง”** ครับ การลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่อ้างอิงกับดัชนี ตราสารอนุพันธ์ หรือแม้แต่เงินดิจิทัล มีความเสี่ยงสูงมากครับ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีการใช้เลเวอเรจ อาจทำให้คุณสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด หรือมากกว่าเงินลงทุนเริ่มต้นของคุณได้เลยทีเดียวครับ

เหมือนเวลาจะขับรถเร็วๆ บนทางด่วน เราต้องมั่นใจว่าเราขับเป็น ถนนดี รถพร้อม มีสติ และคาดเข็มขัดนิรภัยเสมอ การลงทุนก็เช่นกันครับ ต้องเข้าใจความเสี่ยง ประเมินความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของตัวเองให้ดี และถ้าไม่แน่ใจ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้งนะครับ อย่าเห็นแต่โอกาส จนลืมมองความเสี่ยงไปโดยเด็ดขาด

สรุปแล้ว **หุ้นดาวโจนส์ คือ** ดัชนีเก่าแก่และทรงอิทธิพล ที่สะท้อนภาพรวมของ 30 บริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ การเคลื่อนไหวของมันได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง และความเชื่อมั่นในตลาดโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องมาถึงตลาดหุ้นไทยของเราด้วย การทำความเข้าใจดัชนีดาวโจนส์จึงเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับนักลงทุนที่ต้องการมองภาพใหญ่ของการลงทุนในตลาดการเงิน แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ และลงทุนเท่าที่รับความเสี่ยงได้เสมอครับ

Leave a Reply