สวัสดีครับนักลงทุนทุกท่าน กลับมาพบกับคอลัมน์การเงินย่อยง่ายสไตล์เราอีกแล้วนะครับ วันนี้ผมมีเรื่องใกล้ตัวกับเรื่องไกลตัวหน่อยๆ ที่นักลงทุนหลายคนน่าจะเคยได้ยิน แต่บางทีก็แอบงงๆ อยู่ว่ามันคืออะไร แล้วเกี่ยวข้องกันไหม มาคุยให้หายสงสัยกัน นั่นคือเรื่องของเครื่องหมาย s/p คืออะไรในตลาดหุ้นไทย กับเรื่องของดัชนีหุ้นอเมริกาตัวดังอย่าง S&P 500 และ Nasdaq 100 ครับ
เรื่องนี้เริ่มมาจากเพื่อนซี้ผมชื่อ ‘ก้อย’ แกเพิ่งเข้ามาในวงการหุ้นได้ไม่นาน วันก่อนไลน์มาถามด้วยความงุนงงว่า “เฮ้ย เห็นข่าวหุ้นตัวนั้นขึ้นเครื่องหมาย ‘SP’ แล้วก็อีกข่าวพูดถึง ‘ดัชนี S&P 500’ กับ ‘Nasdaq 100’ ของอเมริกา ตกลงมันคืออะไรกันแน่? เกี่ยวกันไหมเนี่ย?” คำถามนี้สะท้อนให้เห็นว่า ศัพท์การเงินบางคำฟังดูคล้ายๆ กัน แต่ความหมายและบริบทต่างกันลิบลับเลยครับ วันนี้เราเลยจะมาแกะกล่องศัพท์การเงินที่นักลงทุนควรรู้ อย่างเรื่อง s/p คืออะไร และทำความรู้จักดัชนีหุ้นอเมริกาตัวดังแบบย่อยง่ายๆ ให้เพื่อนๆ นักลงทุนเข้าใจได้ในบทความเดียวครับ
มาเริ่มที่เรื่องใกล้ตัวนักลงทุนไทยก่อนเลยครับ ไอ้เครื่องหมาย s/p คืออะไรในตลาดหุ้นไทย?
SP ย่อมาจาก Trading Suspension ครับ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า ‘หยุดซื้อขาย’ เป็นเครื่องหมายที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ใช้ระงับการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทใดบริษัทหนึ่งเป็นการชั่วคราวครับ ลองนึกภาพตามนะครับ… บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็เหมือนนักเรียนในห้องเรียนใหญ่ ที่มีกฎระเบียบของโรงเรียน (ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ก.ล.ต.) กำกับอยู่ ถ้าอยู่ๆ นักเรียนคนนี้ไม่ส่งการบ้าน (งบการเงิน) ตามกำหนด ทำผิดกฎโรงเรียนซ้ำๆ หรือกำลังมีเรื่องใหญ่ที่ต้องสะสาง คุณครู (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) ก็ต้องบอกให้ ‘พักก่อน’ ห้ามทำกิจกรรม (ซื้อขายหุ้น) ชั่วคราว จนกว่าจะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นครับ
สาเหตุที่ทำให้คุณครูต้องขึ้นเครื่องหมาย SP ก็มีหลายอย่างครับ ตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เลย เช่น
* บริษัทไม่สามารถชี้แจงหรือเปิดเผยข้อมูลสำคัญที่อาจกระทบต่อราคาหุ้นได้ทันที คล้ายๆ เครื่องหมาย H (Trading Halt) แต่บริษัทอาจยังไม่พร้อมให้ข้อมูล หรือข้อมูลยังไม่ครบ
* บริษัทฝ่าฝืน ละเลยกฎหมาย ข้อบังคับ หรือคำสั่งของตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างต่อเนื่อง
* บริษัทไม่นำส่งงบการเงินภายในเวลาที่กำหนด นี่เป็นสาเหตุคลาสสิกที่เจอกันบ่อยๆ ครับ อย่างกรณีหุ้น STARK ที่นักลงทุนหลายคนยังจำได้ ก็ขึ้น SP เพราะเหตุนี้เลย
* หุ้นของบริษัทนั้นๆ กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะเข้าข่ายถูก ‘เพิกถอน’ (คือเอาออกจากตลาดไปเลย) หรืออยู่ระหว่างการปรับปรุงสถานะตามเกณฑ์ต่างๆ
* หุ้นนั้นๆ ใกล้ครบกำหนดไถ่ถอน แปลงสภาพ ใช้สิทธิ หรือขายคืน อันนี้เจอไม่บ่อยเท่าไหร่
* มีเหตุการณ์อื่นใดที่อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการซื้อขายหลักทรัพย์ เช่น กรณีหุ้น MORE ที่ตลาดฯ ขึ้น SP เพราะมองว่าราคาและข้อมูลการซื้อขายมีความผิดปกติ กระทบสภาพการซื้อขายโดยรวม หรือกรณีที่ TRUE และ DTAC ขอให้ตลาดฯ ขึ้น SP ชั่วคราวเพื่อเตรียมการจัดสรรหุ้นบริษัทใหม่ให้ผู้ถือหุ้นเดิมก่อนนำหุ้นใหม่เข้าจดทะเบียน ซึ่งอันนี้เป็นเหตุการณ์เชิงบวกครับ

แล้วผลกระทบต่อนักลงทุนล่ะ? แน่นอนครับว่าถ้าหุ้นตัวไหนขึ้นเครื่องหมาย s/p คือ หุ้นตัวนั้นจะซื้อเข้าหรือขายออกไม่ได้เลย จนกว่าจะได้รับการปลดเครื่องหมาย ซึ่งอาจจะใช้เวลาไม่นานถ้าบริษัทแก้ไขปัญหาได้เร็ว แต่ถ้าปัญหาหนักจริงๆ หรือบริษัทไม่สามารถแก้ไขได้ภายในเวลาที่กำหนด หุ้นตัวนั้นก็อาจเข้าสู่กระบวนการ ‘เพิกถอน’ คือเอาออกจากตลาดไปเลยได้ครับ
สำหรับนักลงทุนที่ถือ DW (Derivative Warrant) หรือ Warrant ที่อ้างอิงหุ้นตัวที่โดน SP อยู่ ก็จะโดน SP ตามไปด้วยโดยอัตโนมัติครับ ไม่ต้องแปลกใจ ซึ่งถ้า DW ของเราหมดอายุก่อนที่หุ้นแม่จะปลด SP ก็จะมีเกณฑ์การคำนวณเงินสดส่วนต่างที่ซับซ้อนหน่อย ตามที่ผู้ออก DW กำหนดไว้ครับ เช่น ถ้าหุ้นแม่กลับมาเทรดภายใน 30 วันหลัง DW หมดอายุ ก็ใช้ราคาปิดวันแรกที่กลับมาเทรด แต่ถ้าไม่กลับมาเทรดภายใน 30 วัน ผู้ออก DW อาจต้องใช้ราคายุติธรรมที่ประเมินโดยที่ปรึกษาทางการเงินอิสระมาคำนวณแทนครับ
ทีนี้ ถ้าบริษัทที่โดน SP อยากกลับมาซื้อขายได้อีกครั้ง ต้องทำยังไง? ส่วนใหญ่ก็ต้องแก้ไขปัญหาให้เรียบร้อยครับ อย่างกรณีที่ไม่ส่งงบการเงิน ก็ต้องรีบนำส่งงบการเงินที่ค้างให้ครบถ้วน และผู้สอบบัญชีต้องไม่มีความเห็นว่างบการเงินไม่ถูกต้อง ซึ่งถ้าปัญหาคาราคาซังนานเกินไป (เช่น ล่าช้างบฯ เกิน 6 เดือน) หรือบริษัทเข้าข่ายที่จะถูกเพิกถอน ตลาดฯ จะให้เวลาบริษัทดำเนินการตามขั้นตอน ซึ่งมีกำหนดเวลาชัดเจน เช่น ถ้าต้องแก้ไขเรื่องส่วนผู้ถือหุ้นน้อยกว่าศูนย์ หรือปรับปรุงการดำเนินงาน ตลาดฯ อาจให้เวลา 2 ปีในการแก้ไข และถ้าแก้ไขได้ใน 2 ปี ก็จะเข้าสู่ช่วงที่ 2 คือช่วงดำเนินการเพื่อให้มีคุณสมบัติกลับมาซื้อขายได้อีก 1 ปีครับ
แต่ถ้าไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้เรียบร้อยภายในเวลาที่ตลาดฯ กำหนดได้ทั้งหมด หุ้นตัวนั้นก็จะเข้าสู่กระบวนการ ‘เพิกถอน’ ออกจากตลาดไปเลยครับ ก่อนจะเพิกถอนจริงๆ ตลาดฯ จะใจดี ให้เวลา ‘ซื้อขาย 7 วันทำการสุดท้าย’ ครับ ซึ่งในช่วง 7 วันนี้ ตลาดฯ จะขึ้นเครื่องหมาย ‘NC’ (Non-Compliance) หรือไม่เป็นไปตามข้อกำหนด ควบคู่กับ SP และบังคับให้ซื้อขายด้วยบัญชี ‘Cash Balance’ เท่านั้น คือต้องมีเงินสดเต็มจำนวนในบัญชีพร้อมจ่ายทันทีถึงจะซื้อได้ และเงินค่าขายหุ้นก็จะเข้าบัญชีในวันทำการถัดไป (T+1) เลยครับ เพื่อลดความเสี่ยง ซึ่งก็เหมือนเป็นการเปิดโอกาสสุดท้ายให้นักลงทุนที่อาจอยากขายหุ้นทิ้งก่อนจะถูกเพิกถอนไปครับ อย่างกรณีหุ้น SMK ก็เคยอยู่ในข่ายนี้เพราะส่วนผู้ถือหุ้นน้อยกว่าศูนย์และผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินครับ
สรุปง่ายๆ คือ ถ้าเห็นเครื่องหมาย s/p คือ สัญญาณว่าบริษัทมีปัญหาอะไรบางอย่าง ซึ่งอาจกระทบถึงการดำเนินงาน ราคาหุ้น และเงินลงทุนของเราได้ครับ บางกรณีรุนแรงอาจถึงขั้น ‘ศูนย์’ ได้เลย ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษครับ นอกจาก SP แล้ว ยังมี H (Trading Halt) หรือ P (Pause) ซึ่งก็เป็นการหยุดซื้อขายชั่วคราวเหมือนกัน แต่ SP มักจะเกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่รุนแรงกว่า H หรือ P ครับ

เอาล่ะ พักเรื่องน่าเป็นห่วงในบ้านเราไว้ก่อน มาดูโอกาสลงทุนในตลาดต่างประเทศกันบ้างนะครับ หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อบริษัทระดับโลกอย่าง Apple, Microsoft, Google (บริษัทแม่คือ Alphabet), Amazon, Nvidia พวกนี้เขาไปซื้อขายกันที่ไหนนะ? คำตอบคือ ส่วนใหญ่อยู่ในตลาดหุ้นอเมริกาครับ ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่มากๆ และมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลกเลยทีเดียว
ตลาดหุ้นอเมริกาหลักๆ มีสองสนามใหญ่ๆ ครับ คือ NYSE (New York Stock Exchange) หรือที่คนไทยคุ้นเคยกับชื่อ ‘วอลล์สตรีท’ ซึ่งเป็นตลาดเก่าแก่ เน้นบริษัทขนาดใหญ่ ดั้งเดิม เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ มีมูลค่าตลาดมหาศาลกว่า 25 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ กับอีกตลาดคือ Nasdaq (แนสแด็ก) เดิมทีเป็นตลาดระดมทุนของบริษัทเล็กๆ แต่ปัจจุบันเน้นหุ้นเทคโนโลยีและบริษัทที่มีการเติบโตสูงมากๆ เป็นตลาดแรกๆ ที่ใช้ระบบซื้อขายแบบอิเล็กทรอนิกส์ มีมูลค่าตลาดกว่า 18 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งก็ใหญ่มหึมาไม่แพ้กันครับ
ทีนี้ เวลาเราอยากรู้ว่า ‘ภาพรวม’ ตลาดหุ้นอเมริกาเป็นยังไง หรือดูสุขภาพของบริษัทกลุ่มต่างๆ เราก็ดูที่ ‘ดัชนี’ ครับ เหมือนเป็นมาตรวัดสุขภาพของตลาดนั่นเอง ดัชนีตัวดังที่นักลงทุนทั่วโลกจับตาดู โดยเฉพาะคนไทยที่เริ่มไปลงทุนต่างประเทศ ก็มีอยู่สองตัวหลักๆ ครับ คือ S&P 500 กับ Nasdaq 100
มาดูตัวแรกกันก่อน ‘S&P 500’ ครับ ชื่อก็บอกใบ้ว่าเป็นดัชนีที่รวบรวมหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่สุด 500 แห่งในสหรัฐอเมริกา โดยคัดเลือกจากทั้งบริษัทที่จดทะเบียนใน NYSE และ Nasdaq ครับ ดัชนีนี้จัดทำโดยบริษัท Standard & Poor ตั้งแต่ปี 1957 ถือเป็นดัชนีที่ใช้เป็นตัวแทนภาพรวมตลาดและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้เป็นอย่างดี เปรียบเสมือนตัวแทนเศรษฐกิจอเมริกาภาพรวมเลยครับ เพราะหุ้น 500 ตัวนี้ครอบคลุมมูลค่าตลาดรวมกันกว่า 80% ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งหมดเลยทีเดียว เกณฑ์การคัดเลือกเข้าดัชนีก็พิจารณาจากมูลค่าตลาด สภาพคล่อง และสัดส่วนหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) ครับ ในดัชนีนี้ไม่ได้มีแค่หุ้นเทคโนโลยีนะครับ แต่กระจายไปหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งพลังงาน สุขภาพ การเงิน สินค้าอุปโภคบริโภค บริษัทเก่าแก่อย่าง Berkshire Hathaway หรือ Visa รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่อื่นๆ ก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย (อ้างอิงจากองค์ประกอบดัชนีโดยประมาณ ณ ปี 2023 หรือใกล้เคียง)
อีกดัชนีที่ฮอตฮิตไม่แพ้กันคือ ‘Nasdaq 100’ ครับ ตัวนี้จัดทำโดยตลาด Nasdaq ตั้งแต่ปี 1985 เป็นดัชนีที่รวบรวมบริษัทขนาดใหญ่สุด 100 แห่งที่จดทะเบียนในตลาด Nasdaq ครับ แต่มีข้อแม้นิดหน่อยคือ ‘ไม่รวมกลุ่มสถาบันการเงิน’ ครับ ดังนั้น หุ้นใน Nasdaq 100 ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทที่เน้นการเติบโตสูงในกลุ่มเทคโนโลยี นวัตกรรม และอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การเงินเป็นหลักครับ บริษัทดังๆ ที่เราคุ้นชื่อกันดีอย่าง Apple, Microsoft, Amazon, Nvidia, Tesla ก็เป็นส่วนประกอบสำคัญในดัชนีนี้ครับ
แล้วสองดัชนีนี้เหมือนหรือต่างกันยังไง? ที่เหมือนกันคือหุ้น Top 5-10 อันดับแรกมักจะเป็นตัวเดียวกันวนไปมาครับ พวกพี่ใหญ่ Apple, Microsoft, Alphabet (Google), Amazon, Nvidia ก็เป็นส่วนประกอบสำคัญในทั้งสองดัชนีครับ
แต่สัดส่วน ‘ความกระจุกตัว’ ต่างกันชัดเจนครับ ใน S&P 500 หุ้น 5 อันดับแรก อาจคิดเป็นสัดส่วนราวๆ 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือก็กระจายไปในอีกเกือบ 500 ตัวที่เหลือ ทำให้ภาพรวมมีความหลากหลายสูงกว่าครับ แต่ใน Nasdaq 100 หุ้น 5 อันดับแรกนี่แหละครับ กินสัดส่วนไปเกือบครึ่งหนึ่ง หรือ 40 กว่าเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว (อ้างอิงข้อมูลสัดส่วนโดยประมาณจากข้อมูล ณ กลางปี 2023) นี่แสดงให้เห็นว่า Nasdaq 100 พึ่งพาหุ้นเทคโนโลยีและหุ้นใหญ่ไม่กี่ตัวค่อนข้างมากครับ

ดังนั้น แม้ทั้งสองดัชนีจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันส่วนใหญ่ แต่ในช่วงที่หุ้นเทคโนโลยีบูมๆ ดัชนี Nasdaq 100 ที่เน้นกลุ่มนี้มากๆ ก็อาจให้ผลตอบแทนที่ร้อนแรงกว่าได้ครับ แต่ก็ต้องยอมรับความผันผวนที่สูงกว่าด้วยเช่นกัน เพราะหากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีปัญหา ดัชนี Nasdaq 100 ก็อาจจะปรับตัวลงแรงกว่า S&P 500 ครับ
แล้วนักลงทุนไทยจะลงทุนใน S&P 500 หรือ Nasdaq 100 ได้ยังไงล่ะ? ง่ายที่สุดคือผ่าน ‘กองทุนรวม’ ที่มีในประเทศไทยนี่แหละครับ หลาย บลจ. (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน) เขาก็มีกองทุนที่ไปลงทุนอิงตามดัชนีเหล่านี้โดยตรง หรือบางทีก็เป็นกองทุนที่ลงทุนผ่าน ETF (Exchange Traded Fund) ที่อิงดัชนีอีกที ซึ่ง ETF เหล่านี้ก็ซื้อขายอยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ครับ เราไม่ต้องไปเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศให้ยุ่งยาก แค่ซื้อหน่วยลงทุนกองทุนพวกนี้ผ่านโบรกเกอร์หรือแอปฯ ธนาคารที่เราใช้ประจำได้เลยครับ ลองสอบถาม บลจ. หรือโบรกเกอร์ของเราดูว่ามีกองทุนแบบนี้ให้เลือกลงทุนไหม
เป็นยังไงบ้างครับ หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เพื่อนๆ นักลงทุนเข้าใจคำศัพท์และดัชนีสำคัญๆ อย่างเรื่องที่ว่า s/p คืออะไร, S&P 500 ต่างกับ Nasdaq 100 ตรงไหน ได้ง่ายขึ้นนะครับ จำไว้ว่าเครื่องหมาย SP คือสัญญาณเตือนให้ระวังเป็นพิเศษกับหุ้นตัวนั้นๆ เพราะกำลังมีปัญหาอยู่ ในขณะที่ S&P 500 กับ Nasdaq 100 เป็นดัชนีที่ช่วยให้เราเห็นภาพรวมตลาดหุ้นอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่มีโอกาสเติบโตสูง แต่ก็มีความเสี่ยงและผันผวนเช่นกัน
ก่อนตัดสินใจลงทุน ไม่ว่าจะในหุ้นไทยที่มี SP หรือกองทุนที่ไปลงทุนในหุ้นอเมริกา ก็อย่าลืม ‘ทำการบ้าน’ ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน เข้าใจความเสี่ยง และประเมินความสามารถในการรับความเสี่ยงของตัวเองเสมอครับ หากสภาพคล่องเงินลงทุนของเราไม่สูงมากนัก การลงทุนในหุ้นที่มีเครื่องหมาย SP หรือในดัชนีที่เน้นหุ้นกลุ่มเดียวมากๆ อย่าง Nasdaq 100 (ซึ่งมีความผันผวนสูงกว่า S&P 500) อาจต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน หรือแบ่งสัดส่วนเงินลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่เรายอมรับได้นะครับ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนครับ ขอให้ทุกคนลงทุนอย่างมีความรู้และรอบคอบนะครับ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีครับ