
ช่วงนี้เปิดแอปดูหุ้นทีไร หลายคนคงแอบใจหายวาบๆ กันบ้างใช่ไหมครับ โดยเฉพาะคนที่ตามติดตลาดหุ้นอเมริกา หนึ่งในตัวชี้วัดที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจอย่างมากก็คือ ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average) หรือ ดาวโจนส์index ครับ แต่พักนี้เห็นชัดๆ เลยว่า ดัชนีดาวโจนส์ เค้ากำลัง “ขาลง” อย่างมีนัยสำคัญ ไม่ใช่แค่ลงนิดๆ หน่อยๆ บางวันนี่ดิ่งลงไปกว่า 1,100 จุด หรือบางช่วงก็ร่วงหนักถึง 700 จุดในวันเดียว ทำเอาคนดูกราฟตาลายไปตามๆ กัน
ไม่ใช่แค่ดาวโจนส์index นะครับ ดัชนีหลักอื่นๆ ในอเมริกาอย่าง S&P 500 หรือ Nasdaq ก็พร้อมใจกันปรับตัวลงตามไปด้วย ไม่แปลกใจเลยที่ตลาดหุ้นทั่วโลก ทั้งในยุโรป หรือแม้แต่ตลาดหุ้นเอเชียอย่างนิกเกอิของญี่ปุ่น ก็พลอยได้รับผลกระทบ ปรับตัวลดลงตามทิศทางของพี่ใหญ่อย่างอเมริกา ส่วนสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ อย่างทองคำ หรือทองแดง ก็ดูซึมๆ ลงไปด้วย มีแค่น้ำมันดิบเบรนท์เท่านั้นที่สวนกระแส ขยับขึ้นมาได้เล็กน้อย ขณะที่เงินสกุลหลักๆ เทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ก็อ่อนค่าลงไปซะส่วนใหญ่
**ทำไม ดาวโจนส์index ถึงกำลังเผชิญมรสุม?**
สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average) หรือ ดาวโจนส์index เค้าผันผวน และมีแนวโน้มปรับตัวลง มีหลายปัจจัยผสมโรงกันไปครับ เหมือนพายุที่มาหลายทิศทางพร้อมกันเลย
1. **สงครามการค้า/ภาษี ที่ยังไม่จบง่ายๆ:** เรื่องนี้เป็นเหมือนระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่กดดันตลาดมาพักใหญ่แล้วครับ การที่สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าจากจีน และจีนก็ตอบโต้กลับด้วยการเก็บภาษีเพิ่มเติม ทำให้นักลงทุนกังวลว่าเรื่องนี้จะบานปลาย กระทบกับการค้าโลก และสุดท้ายก็ส่งผลเสียต่อบริษัทต่างๆ พอมีความไม่แน่นอนสูง คนก็แห่เทขายสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นออกมาก่อน เป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดให้ดาวโจนส์index ดิ่งลง
2. **เงินเฟ้อที่ยังร้อนแรงกว่าที่คิด:** เรื่องของ “เงินเฟ้อ” หรือข้าวของแพงขึ้นเนี่ยแหละครับ รายงานตัวเลขเงินเฟ้อที่ออกมาสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ ทำให้ความหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่เรียกกันว่า “เฟด” (Fed) จะรีบลดอัตราดอกเบี้ยลงนั้นลดน้อยลงไป พอเฟดยังไม่ลดดอกเบี้ย หรืออาจจะต้องคงดอกเบี้ยสูงไปอีกนาน ก็เป็นข่าวร้ายสำหรับตลาดหุ้น เพราะต้นทุนทางการเงินของบริษัทต่างๆ จะยังสูงอยู่ ทำให้หุ้นดูไม่น่าสนใจเท่าที่ควร แรงกดดันนี้ก็ส่งตรงมาถึงดาวโจนส์index ด้วย

3. **ความกังวลเรื่องนโยบายแบงก์ชาติ และการเมือง:** มีความกังวลว่าอาจจะมีการแทรกแซงการทำงานของเฟดจากฝ่ายการเมือง รวมถึงความเห็นของประธานเฟดเองอย่าง นายเจอโรม พาวเวลล์ ที่เคยแสดงความกังวลว่าเรื่องภาษีการค้าอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ นี่ก็สร้างความไม่มั่นใจให้กับนักลงทุน ทำให้บรรยากาศในตลาดดูแย่ลงไปอีก
4. **ปัญหาเฉพาะตัวของหุ้นบางบริษัท:** ไม่ใช่แค่ปัจจัยมหภาคใหญ่ๆ เท่านั้นนะครับ แต่บางทีหุ้นรายตัวที่อยู่ใน ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average) หรือ ดาวโจนส์index เองก็มีปัญหา อย่างในช่วงที่ผ่านมา หุ้นของบริษัทขนาดใหญ่มากๆ บางแห่ง เช่น UnitedHealth หรือ Nvidia ที่ราคาดิ่งลงอย่างมีนัยสำคัญ ก็ลากให้ค่าเฉลี่ยรวมของดัชนีดาวโจนส์ลดลงตามไปด้วย เหมือนเวลาทีมฟุตบอลมีผู้เล่นตัวหลักฟอร์มตก ก็ส่งผลกระทบกับฟอร์มของทีมโดยรวมนั่นแหละครับ
5. **ความกลัวเศรษฐกิจถดถอย:** พอเรื่องการค้าตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ ไม่จบไม่สิ้น ก็เริ่มมีเสียงเตือนดังขึ้นมาว่า เศรษฐกิจโลกอาจจะเข้าสู่ภาวะ “ถดถอย” (Recession) หรือเติบโตช้าลงมากๆ หรือถึงขั้นติดลบได้ ความกลัวนี้ทำให้คนยิ่งระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น หันไปหาทรัพย์สินที่ปลอดภัยกว่า ทำให้เงินไหลออกจากตลาดหุ้น ซึ่งก็กระทบกับดาวโจนส์index โดยตรง
**รู้จักกับ ดาวโจนส์index ให้มากขึ้น**
เอาล่ะครับ ทีนี้มาทำความรู้จักกับพระเอกของเราหน่อย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average) หรือ ดาวโจนส์index เนี่ย มันคืออะไรกันแน่?
ง่ายๆ เลย มันคือค่าเฉลี่ยราคาหุ้นแบบถ่วงน้ำหนักของบริษัท “บลูชิพ” ชั้นนำ 30 บริษัทในสหรัฐอเมริกาครับ คำว่าบลูชิพก็คือบริษัทใหญ่ๆ มีชื่อเสียง มีผลประกอบการมั่นคง อย่างเช่น Apple, Microsoft, Johnson & Johnson อะไรพวกนี้แหละครับ ดัชนีนี้ถือเป็นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่เก่าแก่มากๆ เป็นอันดับสองของอเมริกาเลยนะ สร้างขึ้นมาโดย ชาลส์ ดาว และ เอ็ดเวิร์ด โจนส์ ในปี 1896 ปัจจุบัน ดัชนีนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัท CME Group ครับ
ข้อมูลล่าสุด ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average) หรือ ดาวโจนส์index เคยเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงประมาณ 38,314.86 ถึง 41,583.33 จุดครับ อย่างที่บอกไปว่าช่วงนี้เค้ากำลังปรับตัวลง ดังนั้น ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา รอบสัปดาห์ หรือรอบเดือน จะเห็นว่าดัชนีติดลบ แต่ถ้ามองยาวๆ ในรอบ 1 ปี ก็ยังเห็นการขยับขึ้นมาได้เล็กน้อยอยู่
สำหรับประวัติศาสตร์ของดาวโจนส์index เนี่ย เค้าเคยทำจุดสูงสุดอ้างอิงไว้เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2024 ที่ระดับ 45,073.63 จุด (ตัวเลขนี้อาจมีการคลาดเคลื่อนตามแหล่งข้อมูลและช่วงเวลา แต่เป็นตัวเลขที่สูงมากๆ) ส่วนจุดที่ต่ำที่สุดเท่าที่เคยบันทึกมาคือ 28.48 จุด เมื่อนานมาแล้วคือวันที่ 8 สิงหาคม 1896 โน่นเลยครับ แสดงให้เห็นถึงการเดินทางที่ยาวนานของดัชนีนี้

ในบรรดา 30 บริษัทที่ประกอบกันเป็นดาวโจนส์index หุ้นที่มีราคาต่อหุ้นสูงๆ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง เช่น Goldman Sachs (GS), UnitedHealth (UNH), และ Microsoft (MSFT) พวกนี้มีผลต่อการคำนวณดัชนีมากพอสมควรครับ ส่วนหุ้นที่ทำผลงานได้โดดเด่นที่สุดในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา เช่น Walmart (WMT) ที่ราคาขึ้นมาเกือบ 60% เลยทีเดียว ในทางกลับกัน หุ้นที่ทำผลงานอ่อนแอที่สุดก็อย่างเช่น Nike (NKE) ที่ราคาลดลงไปเกือบ 40% ครับ นี่แสดงให้เห็นว่าแม้จะเป็นหุ้นบลูชิพชั้นนำ ก็ยังมีทั้งตัวที่แข็งแกร่งและตัวที่กำลังเผชิญความท้าทาย
ถ้าลองดูการวิเคราะห์ทางเทคนิคจากเครื่องมือต่างๆ (พวก Oscillators หรือ Moving Averages) สัญญาณที่ออกมาค่อนข้างหลากหลายครับ มีทั้งบอกว่าเป็นกลาง มีแรงขาย หรือมีแรงซื้อ แต่โดยภาพรวม ในกรอบเวลาระยะสั้นถึงกลาง มักจะเห็นสัญญาณไปในทาง “แรงขาย” หรือ “แรงขายรุนแรง” (Strong Sell/Sell) มากกว่า สอดคล้องกับแนวโน้มตลาดที่กำลังปรับตัวลงนี่แหละ
**อยากลงทุนใน ดาวโจนส์index ทำยังไงได้บ้าง?**
หลายคนอาจจะสงสัยว่า ถ้าเห็นความเคลื่อนไหวของดาวโจนส์index แล้วสนใจ อยากจะร่วมลงทุนด้วย ต้องทำยังไง? คำตอบคือ เราไม่สามารถซื้อดัชนีดาวโจนส์ตรงๆ ได้เหมือนซื้อหุ้นนะครับ แต่เราสามารถลงทุนผ่านเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ ได้ เช่น
* **ดาวโจนส์index Futures:** เป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อิงกับมูลค่าของดัชนีดาวโจนส์ การเทรดฟิวเจอร์สมีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูง เพราะมีการใช้ Leverage (เงินทุนน้อยกว่ามูลค่าสัญญาจริง)
* **กองทุนรวมที่อิงกับดัชนีดาวโจนส์:** เป็นวิธีที่ง่ายกว่าสำหรับนักลงทุนทั่วไป กองทุนเหล่านี้จะไปลงทุนในหุ้น 30 ตัวที่ประกอบกันเป็นดัชนี หรือใช้เครื่องมืออื่นๆ เพื่อให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีดาวโจนส์
* **ลงทุนในหุ้นรายตัวที่เป็นองค์ประกอบของดัชนี:** ถ้าเราสนใจบริษัทใดบริษัทหนึ่งใน 30 ตัวนั้น เราก็สามารถซื้อหุ้นของบริษัทนั้นโดยตรงได้ครับ
**⚠️ เรื่องสำคัญที่ต้องจำให้ขึ้นใจ: ความเสี่ยง! ⚠️**
มาถึงส่วนที่สำคัญที่สุดแล้วครับ ไม่ว่าจะลงทุนในดาวโจนส์index ผ่านวิธีไหนก็ตาม **การลงทุนในตราสารทางการเงินต่างๆ รวมถึงพวกสินทรัพย์ดิจิทัล มีความเสี่ยงสูงมากๆ** อาจทำให้คุณสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดหรือบางส่วนได้เลยนะครับ มันอาจจะไม่เหมาะกับนักลงทุนทุกคน
* ราคาของสินทรัพย์พวกนี้มีความผันผวนสูงมาก ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกได้สารพัด ทั้งเรื่องการเงิน กฎหมาย หรือแม้แต่การเมือง
* การซื้อขายด้วยมาร์จิน (เงินกู้ยืมจากโบรกเกอร์) ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนให้สูงขึ้นไปอีก
* **สิ่งที่คุณต้องทำคือ:** ทำความเข้าใจความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องให้ถ่องแท้ พิจารณาวัตถุประสงค์ในการลงทุนของตัวเอง ประสบการณ์ในการลงทุน และที่สำคัญคือ “ระดับการยอมรับความเสี่ยง” ของคุณเองว่ารับการขาดทุนได้แค่ไหน ถ้าไม่แน่ใจ **ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน** ก่อนตัดสินใจเสมอ
ข้อมูลและราคาต่างๆ ที่คุณเห็นตามเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน บางทีอาจไม่ใช่ราคาเรียลไทม์เป๊ะๆ หรืออาจจะไม่ใช่ราคาที่ใช้ซื้อขายจริงในตลาดนะครับ มันมักจะเป็นเพียง “ราคาชี้นำ” เท่านั้น ไม่เหมาะที่จะใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจซื้อขายแบบวินาทีต่อวินาที
ผู้ให้บริการข้อมูลต่างๆ เค้าก็มีข้อจำกัดความรับผิดชอบนะครับ เค้าจะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายหรือการสูญเสียที่คุณอาจเกิดขึ้นจากการซื้อขาย หรือจากการพึ่งพาข้อมูลที่เค้าให้มา เพราะฉะนั้น **การตัดสินใจลงทุนเป็นความรับผิดชอบของคุณเอง 100%**
สุดท้ายนี้ การซื้อขายผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ที่มี Leverage อย่าง Futures เนี่ย แม้จะได้กำไรเยอะเวลาถูกทาง แต่ก็อาจทำให้เกิดการขาดทุนเกินกว่าเงินฝากเริ่มต้นของคุณได้เช่นกันครับ และข้อมูลบางอย่างอาจไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ผู้อยู่อาศัยในบางประเทศ/เขตอำนาจศาลด้วย ต้องตรวจสอบกฎระเบียบในประเทศของคุณเองให้ดีครับ
จำไว้เสมอว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุนนะครับ.