เคยได้ยินคำว่า “ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average (DJIA, DJI หรือ Dow 30))” ไหมครับ? หลายคนอาจจะเคยผ่านหูมาบ้าง โดยเฉพาะเวลาเปิดข่าวเศรษฐกิจหรือข่าวตลาดหุ้น บางทีเห็นตัวเลขสีแดงๆ หรือสีเขียวๆ วิ่งอยู่ข้างบนหน้าจอ พร้อมกับชื่อ “ดาวโจนส์” แล้วก็สงสัยว่า ไอ้เจ้าตัวนี้มันคืออะไร สำคัญยังไงกับชีวิตเรา หรือแม้กระทั่งกับเงินในกระเป๋าที่เรากำลังคิดจะลงทุน หรือที่ลงทุนไปแล้วอยู่ทุกวันนี้
ในฐานะคนที่คลุกคลีกับเรื่องการเงินมานาน ผมขอบอกว่า เจ้า “ดาวโจนส์” เนี่ย ไม่ใช่แค่ชื่อดัชนีตลาดหุ้นธรรมดาๆ ของประเทศสหรัฐอเมริกานะครับ แต่มันเปรียบเสมือน “เทอร์โมมิเตอร์” ตัวใหญ่ ที่คอยวัดไข้เศรษฐกิจของอเมริกา ซึ่งเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก และแน่นอนว่า พออเมริกาจาม ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นบ้านเรานี่แหละ ก็มีสิทธิ์เป็นหวัดตามไปด้วย ดังนั้น การทำความเข้าใจว่า “ดาวโจนส์ คือ” อะไร และมีความเคลื่อนไหวแบบไหน ถือเป็นเรื่องสำคัญมากๆ สำหรับนักลงทุนไทยทุกคนเลยครับ ไม่ว่าคุณจะลงทุนในหุ้นไทย กองทุนรวม หรือสินทรัพย์อื่นๆ การติดตามภาวะตลาดโลกผ่านดัชนีสำคัญๆ อย่างดาวโจนส์ จะช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมและเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนได้ดีขึ้น

ทีนี้ มาเจาะลึกกันหน่อยว่า ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า DJIA, DJI หรือ Dow 30) เนี่ย มันมีที่มาที่ไปยังไง? ย้อนกลับไปเมื่อนานมาแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1883 โน่นเลยครับ คนที่ให้กำเนิดดัชนีตัวนี้คือ คุณปู่ Charles Dow และคุณลุง Edward Jones ผู้ก่อตั้งบริษัท Dow Jones & Company ซึ่งภายหลังมีสำนักข่าว Wall Street Journal อันโด่งดัง ดัชนีดาวโจนส์เริ่มต้นขึ้นมาในยุคที่อเมริกากำลังเติบโตอย่างมากในภาคอุตสาหกรรม ตอนแรกมีหุ้นแค่ 12 บริษัทเท่านั้นเองครับ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทในอุตสาหกรรมหนักๆ อย่างรถไฟ การเดินเรือ ต่อมาในปี ค.ศ. 1928 ก็ได้ขยายเป็น 30 บริษัทอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน
น่าสนใจตรงที่ว่า องค์ประกอบของดัชนีนี้ไม่ได้ตายตัวนะครับ บริษัทต่างๆ ที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีจะมีการปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ เพื่อให้สะท้อนภาพของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละยุคสมัย บริษัทที่เคยเป็นดาวเด่นในอดีตอย่าง General Electric หรือ AT&T บางทีก็ถูกถอดออกไป แล้วนำบริษัทที่กำลังเป็นผู้นำในยุคปัจจุบันเข้ามาแทน ไม่ว่าจะเป็น Apple, Microsoft, Nike หรือ Johnson & Johnson พวกบริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดใหญ่มากๆ และมีอิทธิพลไปทั่วโลก สินค้าและบริการของพวกเขาก็อยู่รอบๆ ตัวเราในชีวิตประจำวันนี่แหละครับ การที่บริษัทเหล่านี้อยู่ในดัชนีดาวโจนส์ ก็ยิ่งตอกย้ำว่า ดัชนีนี้เป็นตัวแทนของ “ยักษ์ใหญ่” ในวงการธุรกิจอเมริกันจริงๆ

แล้วเจ้าดัชนีดาวโจนส์นี้ เขามีวิธีคำนวณตัวเลขกันยังไงล่ะ? ตรงนี้เป็นจุดที่แตกต่างจากดัชนีตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในโลกอย่าง S&P 500 (S&P 500) หรือ SET Index ของไทยเลยครับ เพราะดัชนีดาวโจนส์ใช้วิธีที่เรียกว่า “การถ่วงน้ำหนักตามราคาหุ้น” (Price Weighted Index) อธิบายง่ายๆ ก็คือ เขาจะเอา “ราคาหุ้น” ของทั้ง 30 บริษัทมารวมกัน แล้วหารด้วย “ตัวหารเฉพาะ” (Divisor) ที่มีการปรับค่าอยู่เรื่อยๆ เวลาที่มีการแตกหุ้น ควบหุ้น หรือเปลี่ยนแปลงรายชื่อบริษัท เพื่อไม่ให้ค่าดัชนีผิดเพี้ยนไป
ความพิเศษของวิธีนี้คือ หุ้นตัวไหนที่มีราคาต่อหุ้นสูงๆ จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีมากกว่าหุ้นที่มีราคาต่อหุ้นต่ำๆ ครับ แม้ว่าบริษัทที่ราคาหุ้นต่ำอาจจะมีขนาดใหญ่กว่าในเชิงของมูลค่าตลาดรวมก็ตาม ยกตัวอย่างให้เห็นภาพนะครับ สมมติมีหุ้น 2 ตัวในดัชนี ตัวแรกราคา 200 ดอลลาร์ ตัวที่สองราคา 20 ดอลลาร์ ถ้าทั้งสองตัวราคาขึ้นไป 1 ดอลลาร์เท่ากัน หุ้นตัวแรก (จาก 200 เป็น 201) จะทำให้ดัชนีขยับขึ้นมากกว่าหุ้นตัวที่สอง (จาก 20 เป็น 21) เพราะฐานราคาของมันสูงกว่า นี่คือจุดเด่นที่ทำให้ดัชนีดาวโจนส์มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเป็นข้อแตกต่างสำคัญที่นักลงทุนควรทราบ
เมื่อพูดถึงดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ นอกเหนือจากดาวโจนส์ เราก็มักจะได้ยินชื่อ S&P 500 (S&P 500) และ NASDAQ Composite (แนสแด็ก คอมโพสิต) ควบคู่กันไปเสมอ แล้วสามตัวนี้ต่างกันยังไงล่ะ? ลองนึกภาพแบบนี้นะครับ
* **ดาวโจนส์ (Dow Jones):** เหมือนการรวมตัวของ “กัปตันทีม” ที่เก่งที่สุด 30 คนในแต่ละอุตสาหกรรม (เน้นบริษัทใหญ่แบบดั้งเดิม) วิธีคิดคะแนนเน้นไปที่ “ราคา” ของกัปตันแต่ละคน
* **S&P 500 (S&P 500):** เหมือนการรวมตัวของ “ผู้เล่นหลัก” 500+ คน จากหลากหลายตำแหน่งในทีม (ครอบคลุมภาคเศรษฐกิจกว้างขวางกว่าดาวโจนส์มาก) วิธีคิดคะแนนเน้นไปที่ “มูลค่ารวม” ของผู้เล่นแต่ละคน (มูลค่าตลาด) ใครมีมูลค่าเยอะ ก็มีผลต่อคะแนนรวมเยอะ
* **NASDAQ Composite (แนสแด็ก คอมโพสิต):** เหมือนการรวมตัวของผู้เล่นเก่งๆ กว่า 2000+ คน โดยมีผู้เล่นในตำแหน่ง “เทคโนโลยี” เยอะเป็นพิเศษ วิธีคิดคะแนนก็เน้นไปที่ “มูลค่ารวม” เหมือน S&P 500
เห็นไหมครับว่าแต่ละดัชนีสะท้อนภาพรวมของตลาดและภาคเศรษฐกิจที่แตกต่างกันไป ดาวโจนส์เน้นที่บริษัทใหญ่และเก่าแก่ S&P 500 ให้ภาพรวมที่กว้างกว่าของบริษัทขนาดใหญ่และกลาง ส่วน NASDAQ เป็นตัวแทนของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและบริษัทเติบโตสูง การเข้าใจความแตกต่างนี้ช่วยให้นักลงทุนเลือกใช้ดัชนีให้เหมาะสมกับการวิเคราะห์หรือใช้เป็นเกณฑ์เปรียบเทียบผลตอบแทนได้ถูกต้อง
แล้วอะไรบ้างล่ะ ที่ทำให้เจ้าตัวเลข “ดาวโจนส์ คือ” มีการขึ้นๆ ลงๆ ผันผวนอยู่ตลอดเวลา? ปัจจัยที่ส่งผลกระทบมีมากมายเลยครับ ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศสหรัฐฯ ลองมาดูกันเป็นข้อๆ นะครับ
1. **ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ:** อันนี้สำคัญมากครับ ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP), อัตราการว่างงาน, อัตราเงินเฟ้อ, ยอดค้าปลีก, ความเชื่อมั่นผู้บริโภค ฯลฯ ตัวเลขเหล่านี้เปรียบเสมือนสัญญาณชีพจรของเศรษฐกิจ ถ้าตัวเลขออกมาดี มักจะส่งผลบวกต่อดัชนีดาวโจนส์ เพราะสะท้อนว่าบริษัทต่างๆ น่าจะมีผลประกอบการที่ดีในอนาคต แต่ถ้าตัวเลขออกมาแย่ ดัชนีก็มักจะปรับตัวลง
2. **นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed):** Fed มีอำนาจในการกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยครับ การปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยมีผลอย่างมากต่อต้นทุนการเงินของบริษัทและการจับจ่ายใช้สอยของผู้คน ถ้า Fed ขึ้นดอกเบี้ย มักจะเป็นลบต่อตลาดหุ้น เพราะต้นทุนสูงขึ้น การลงทุนดูน่าสนใจน้อยลงเมื่อเทียบกับการฝากเงิน แต่ถ้า Fed ลดดอกเบี้ย มักจะเป็นบวก
3. **เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์:** สงคราม ความขัดแย้งทางการค้า ความไม่แน่นอนทางการเมืองในภูมิภาคต่างๆ ของโลก ก็ล้วนส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งสะท้อนมาที่ราคาหุ้นของบริษัทที่เป็นส่วนประกอบในดัชนีได้
4. **ผลประกอบการของบริษัท:** แน่นอนว่า ราคาหุ้นขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัทนั้นๆ โดยตรง เมื่อบริษัทใหญ่ๆ ในดัชนี 30 ตัวประกาศผลประกอบการออกมาดีหรือแย่กว่าที่คาด ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อดัชนีรวม
5. **ความเชื่อมั่นของตลาด:** บางครั้ง ตลาดก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเลขเศรษฐกิจอย่างเดียวครับ แต่ขึ้นอยู่กับ “อารมณ์” หรือ “ความเชื่อมั่น” ของนักลงทุนทั่วโลก ถ้าคนส่วนใหญ่เชื่อว่าเศรษฐกิจจะดี ตลาดหุ้นก็จะปรับตัวขึ้น (ตลาดกระทิง) แต่ถ้าคนกลัว ตลาดก็อาจจะร่วงลง (ตลาดหมี) ซึ่งดัชนีดาวโจนส์เป็นตัวสะท้อนความเชื่อมั่นนี้ได้ดี
6. **อัตราแลกเปลี่ยน:** ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งค่าขึ้นหรืออ่อนค่าลง ก็มีผลต่อการส่งออกและกำไรของบริษัทอเมริกันที่มีธุรกิจทั่วโลกได้
ปัจจัยเหล่านี้ทำงานร่วมกันและส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์มีความผันผวนอยู่ตลอดเวลาครับ บางวันขึ้นแรง บางวันลงแรง ขึ้นอยู่กับว่ามีข่าวหรือเหตุการณ์อะไรเข้ามาในช่วงนั้น

คำถามถัดมาที่นักลงทุนไทยหลายคนอาจจะสงสัยคือ แล้วความเคลื่อนไหวของ “ดาวโจนส์ คือ” สิ่งที่เราต้องใส่ใจด้วยเหรอ ในเมื่อเราลงทุนในตลาดหุ้นไทย? คำตอบคือ “จำเป็นอย่างยิ่ง” ครับ เพราะอย่างที่บอกไปว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีขนาดใหญ่และเชื่อมโยงกับทั่วโลก การขึ้นลงของดัชนีดาวโจนส์ มักจะส่งผลต่อ “Sentiment การลงทุน” ของนักลงทุนทั่วโลก รวมถึงนักลงทุนไทยด้วยครับ
ลองสังเกตดูนะครับ เวลาคืนไหนดัชนีดาวโจนส์ปิดบวกแรงๆ วันรุ่งขึ้นตลาดหุ้นไทยมักจะเปิดกระโดดขึ้นตามไปด้วย หรือถ้าคืนไหนดาวโจนส์ร่วงหนักๆ วันรุ่งขึ้นตลาดหุ้นไทยก็มักจะเปิดลงเช่นกัน แม้ว่าหุ้นไทยจะไม่ได้เคลื่อนไหวตามดาวโจนส์แบบเป๊ะๆ แต่แรงเหวี่ยงจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็มีอิทธิพลต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นบ้านเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ เหมือนเวลาเพื่อนบ้านเราจัดงานฉลองใหญ่ หรือมีเรื่องไม่สบายใจ มันก็ส่งผลถึงอารมณ์ของเราบ้างแหละ ดังนั้น การติดตามความเคลื่อนไหวของดาวโจนส์ จะช่วยให้เราคาดการณ์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นได้ดีขึ้น และนำมาประกอบการตัดสินใจว่าจะซื้อ ถือ หรือขาย หุ้นหรือกองทุนที่เราถืออยู่
ทีนี้ถ้าเราอยากจะ “ลงทุน” หรือ “เทรด” โดยอิงกับผลตอบแทนของดัชนีดาวโจนส์โดยตรงล่ะ ทำได้ไหม? คำตอบคือ เราไม่สามารถไปซื้อ “ตัวดัชนี” ได้โดยตรงเหมือนซื้อหุ้นนะครับ แต่เราสามารถลงทุนผ่านเครื่องมือทางการเงินต่างๆ ที่อ้างอิงกับดัชนีดาวโจนส์ได้ครับ มีหลายวิธีเลยทีเดียว
* **กองทุน ETF (Exchange Traded Fund):** เป็นเครื่องมือยอดนิยมที่อ้างอิงกับดัชนีต่างๆ มี ETF หลายตัวที่ลงทุนตามดัชนีดาวโจนส์โดยเฉพาะ เช่น SPDR Dow Jones Industrial Average Tr ETF (DIA) ซึ่งซื้อขายในตลาดหุ้นอเมริกา เราสามารถเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศเพื่อลงทุนใน ETF เหล่านี้ได้ครับ
* **กองทุนรวม:** บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) หลายแห่งในประเทศไทย ก็มีกองทุนรวมที่ไปลงทุนใน ETF หรือหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีดาวโจนส์ ลองหากองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นต่างประเทศ หรืออ้างอิงดัชนีดาวโจนส์ดูครับ เช่น เคยมีกองทุนอย่าง SCBDJI ของ บลจ.ไทยพาณิชย์
* **สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures):** เป็นสัญญาที่ตกลงซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิง (ในที่นี้คือดัชนีดาวโจนส์) ในราคาและวันที่กำหนดในอนาคต การเทรด Futures ช่วยให้เราทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลงของดัชนีครับ แต่ก็มีความเสี่ยงสูง เพราะมีการใช้ “เลเวอเรจ” (Leverage) ซึ่งแปลว่าใช้เงินจำนวนน้อยเพื่อควบคุมสัญญาที่มีมูลค่าสูงได้ ทำให้กำไรขาดทุนทวีคูณ
* **CFD (Contract for Difference):** เป็นสัญญาทางการเงินอีกรูปแบบหนึ่งที่อ้างอิงกับราคาของสินทรัพย์อ้างอิง (เช่น ดัชนีดาวโจนส์) เราทำกำไรจากส่วนต่างราคาที่เปลี่ยนแปลงไป CFD ก็มีการใช้เลเวอเรจเช่นกัน และได้รับความนิยมในการเทรดดัชนีต่างๆ รวมถึงดาวโจนส์ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของโบรกเกอร์ต่างประเทศบางราย ซึ่งอาจจะมีหลายรูปแบบให้เลือกใช้บริการครับ
การลงทุนหรือเทรดที่อิงกับดัชนีดาวโจนส์ผ่านเครื่องมือเหล่านี้ มีสไตล์การเทรดที่หลากหลายให้เลือกตามความถนัดและประสบการณ์นะครับ บางคนชอบแบบ “Scalping” คือเทรดสั้นมากๆ ทำกำไรแค่ไม่กี่จุดแล้วปิด บางคนชอบ “Day Trading” คือซื้อขายและปิดสถานะทั้งหมดภายในวัน ไม่ถือข้ามคืน ส่วนบางคนอาจจะชอบ “Swing Trading” คือถือสถานะข้ามคืนหรือหลายวัน เพื่อรอทำกำไรจากรอบสวิงของราคาที่ใหญ่ขึ้น
ไม่ว่าคุณจะเลือกสไตล์ไหน หรือจะลงทุนผ่านเครื่องมือแบบใดก็ตาม สิ่งที่สำคัญมากๆ คือ “การเตรียมตัว” และ “ความเข้าใจ” ครับ ผมมีคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ ฝากถึงนักลงทุนและเทรดเดอร์ที่สนใจใน “ดาวโจนส์ คือ” โอกาสในการลงทุนดังนี้ครับ
1. **ศึกษาเครื่องมือให้ถ่องแท้:** ก่อนจะใช้เครื่องมือไหน ไม่ว่าจะเป็น ETF, กองทุนรวม, Futures หรือ CFD ต้องทำความเข้าใจวิธีการทำงาน ความเสี่ยง ค่าธรรมเนียม และเงื่อนไขต่างๆ ของเครื่องมือเหล่านั้นให้ดีที่สุดครับ อย่าเพิ่งรีบเอาเงินจริงไปลง ถ้ายังไม่เข้าใจ
2. **ติดตามข่าวสารและปัจจัย:** หมั่นอัปเดตข่าวสารเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และทั่วโลกที่ส่งผลต่อดัชนีดาวโจนส์อยู่เสมอ ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ กำหนดการประชุม Fed หรือเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ต้องไม่พลาด
3. **ใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยง:** สิ่งนี้สำคัญที่สุดในการเทรดที่ใช้เลเวอเรจครับ ต้องรู้จักการตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) เพื่อจำกัดการสูญเสียหากราคาไม่เป็นไปตามคาด และการตั้งจุดทำกำไร (Take Profit) เมื่อราคาถึงเป้าหมาย
4. **บริหารจัดการเงินทุน (Money Management):** ไม่ควรนำเงินทั้งหมดมาลงทุนหรือเทรดในสินทรัพย์เดียว หรือใช้เลเวอเรจสูงจนเกินไป ควรแบ่งเงินลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้ และไม่ให้กระทบกับการใช้ชีวิต
การลงทุนหรือเทรดในสิ่งที่อ้างอิงกับดัชนีดาวโจนส์ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปครับ แต่ต้องอาศัยการศึกษา การวางแผน และวินัยในการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ
⚠️ แต่จำไว้เสมอว่า การลงทุนในตลาดหุ้น หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนและมีการใช้เลเวอเรจสูง เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือ CFD ที่อิงกับดาวโจนส์ มีความเสี่ยงสูงมาก เนื่องจากมีการใช้เลเวอเรจ (Leverage) ซึ่งหมายความว่า คุณอาจสูญเสียเงินลงทุนได้มากกว่าจำนวนที่ลงไปในตอนแรก หรือแม้กระทั่งมากกว่าเงินในบัญชีของคุณได้ ราคาของตราสารเหล่านี้มีความผันผวนสูง และอาจไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนทุกคน
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนหรือเทรดที่เกี่ยวข้องกับดัชนีดาวโจนส์ หรือตลาดต่างประเทศ ควรทำความเข้าใจความเสี่ยงอย่างถ่องแท้ ประเมินระดับประสบการณ์และความพร้อมในการยอมรับความเสี่ยงของตนเอง และขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน หากมีความไม่แน่ใจ นอกจากนี้ ควรตรวจสอบผู้ให้บริการแพลตฟอร์มที่คุณจะใช้บริการด้วย ว่าอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานทางการเงินที่น่าเชื่อถือหรือไม่ และมีข้อจำกัดทางกฎหมายในประเทศของคุณอย่างไรบ้าง
ท้ายที่สุดแล้ว “ดาวโจนส์ คือ” มากกว่าแค่ตัวเลขบนหน้าจอ มันคือภาพสะท้อนของเศรษฐกิจที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก และเป็นเครื่องมือที่นักลงทุนไทยไม่ควรมองข้ามในการวิเคราะห์ภาพรวมตลาดและการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนครับ เพียงแต่ต้องเข้าหาด้วยความรู้ ความเข้าใจ และไม่ประมาทกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอครับ
