
ตลาดหุ้นช่วงนี้เหมือนนั่งรถไฟเหาะ? มาดู “ดาวโจนส์ล่าสุด” มีอะไรน่าจับตาบ้าง
สวัสดีครับทุกคนที่ติดตามเรื่องการเงินการลงทุน วันนี้เราจะมาคุยกันถึงตลาดหุ้นที่ดูจะปั่นป่วนเอาเรื่อง โดยเฉพาะ “ดาวโจนส์ล่าสุด” ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นใหญ่ของฝั่งสหรัฐฯ หรือที่หลายคนเรียกกันติดปากว่า “วอลล์สตรีท” นั่นแหละครับ ช่วงที่ผ่านมานี่ต้องบอกว่ามีแต่เรื่องให้ลุ้นกันเหนื่อยจริงๆ บางวันก็ร่วงลงไปเยอะ บางวันก็ดีดกลับขึ้นมาแรง ทำเอานักลงทุนงงเป็นไก่ตาแตกเลยทีเดียว
เพื่อนผมคนนึงชื่อโจ้ เพิ่งมาบ่นให้ฟังว่า “เฮ้ย! ดาวโจนส์ล่าสุดวันนี้มันเป็นยังไงวะ ทำไมเมื่อวานเห็นลงไปเยอะ วันนี้เด้งกลับมาหน่อย แล้วพรุ่งนี้จะไปทางไหนอีก” ผมก็เลยบอกโจ้ไปว่า ใจเย็นๆ การที่ตลาดหุ้น โดยเฉพาะดาวโจนส์ จะขึ้นจะลง มันมีหลายปัจจัยมาเกี่ยวพันกัน เหมือนแกงกะหรี่ที่มีเครื่องเทศหลายอย่างผสมกันถึงจะอร่อยนั่นแหละ
**ปัจจัยที่ทำให้ “ดาวโจนส์ล่าสุด” เต้นระบำ**
ไอ้เจ้าเครื่องเทศสำคัญที่ทำให้ดาวโจนส์ (หรือชื่อเต็มๆ คือ ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ หรือ DJIA) มันไม่นิ่งเนี่ย มีหลายอย่างเลยครับ ที่เด่นๆ เลยคือเรื่อง “สงครามการค้า” ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน อันนี้เป็นประเด็นร้อนมาพักใหญ่แล้ว นึกภาพตามนะ เหมือนสองเพื่อนซี้กำลังงอนกันเรื่องผลประโยชน์ แกบอกจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของฉัน ฉันก็จะตอบโต้กลับ กลายเป็นหนังเรื่องยาวที่ยังไม่รู้จะจบยังไง ไอ้ความไม่แน่นอนตรงนี้แหละที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงดาวโจนส์ล่าสุดพลอยไม่สบายใจไปด้วย บางช่วงที่คุยกันดีๆ หรือมีข่าวว่าจะทำข้อตกลงชั่วคราว ดาวโจนส์ก็เฮลั่นดีดตัวขึ้นไป แต่พอมีข่าวกลับตาลปัตร หรือมีคำสั่งจากศาลออกมาให้มาตรการภาษีบางอย่างของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมามีผลชั่วคราว ตลาดก็ซึมลงอีก
นอกจากเรื่องการค้ากับจีนแล้ว การค้ากับยุโรปก็มีให้ลุ้นเหมือนกันนะ แม้จะมีข่าวว่าสหรัฐฯ เลื่อนการเก็บภาษีกับสินค้าบางอย่างจากสหภาพยุโรป (EU) ไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังเป็นอีกเรื่องที่นักลงทุนต้องจับตาดูครับ
อีกปัจจัยที่สำคัญมากๆ ก็คือ “ผลประกอบการ” ของบริษัทจดทะเบียนใหญ่ๆ ในสหรัฐฯ เวลาบริษัทดังๆ อย่าง เอ็นวิเดีย (Nvidia) ซึ่งเป็นตัวท็อปด้านชิป หรือ ยูไนเต็ดเฮลธ์ กรุ๊ป (UnitedHealth Group) บริษัทประกันสุขภาพใหญ่ รายงานผลประกอบการออกมาเนี่ย หุ้นของบริษัทพวกนี้มีน้ำหนักในดัชนีดาวโจนส์พอสมควรเลยนะ ถ้าผลออกมาดีกว่าที่คาด ตลาดก็อาจจะคึกคัก

แต่ถ้าออกมาไม่ดี หรือผู้บริหารให้ข้อมูลที่ทำให้นักลงทุนกังวล อย่างเรื่องความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจมหภาค หรืออย่างกรณีของ ยูไนเต็ดเฮลธ์ ที่มีข่าวผู้บริหารลาออกฉุกเฉิน ก็อาจจะกดดันให้ดาวโจนส์ล่าสุดปรับตัวลงได้เหมือนกัน บริษัทอื่นๆ อย่าง โบอิ้ง (Boeing) หรือพวกค้าปลีกอย่าง คอสท์โก (Costco) ก็มีส่วนหมดครับ ทุกสายตาก็จับจ้องว่าบริษัทใหญ่ๆ เขาทำมาค้าขายเป็นยังไงในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้
**ข้อมูลเศรษฐกิจก็มีผลนะ!**
นอกจากเรื่องการค้าและผลประกอบการแล้ว ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เองก็เป็นเหมือน “สัญญาณไฟจราจร” ที่บอกทิศทางว่าเศรษฐกิจกำลังจะไปทางไหนครับ ตัวเลขสำคัญๆ ที่นักลงทุนเฝ้ารอเลยก็คือ “ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE)” ทั้งแบบทั่วไปและแบบพื้นฐาน เพราะนี่คือมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ “เฟด” (Fed) เขาให้ความสำคัญมากๆ รายงานล่าสุดของเดือนเมษายนก็ยังเห็นว่าราคาปรับขึ้นเมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งอันนี้แหละที่เฟดต้องเอาไปคิดว่าจะเอายังไงกับนโยบายการเงิน
ลองคิดดูนะ ถ้าเงินเฟ้อยังสูง เฟดก็อาจจะต้องคิดหนักว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีกไหม ซึ่งประธานเฟดอย่าง นายเจอโรม พาวเวล ก็เพิ่งส่งสัญญาณว่าอาจจะต้องตัดสินใจยากลำบาก ถ้าเงินเฟ้อยังเป็นปัญหา แถมเขายังแสดงความกังวลถึงผลกระทบจากมาตรการภาษีของทรัมป์ที่จะฉุดเศรษฐกิจอีกต่างหาก ถ้อยแถลงของท่านประธานเฟดเนี่ย นักลงทุนต้องจับตาดูให้ดีเลยนะ หาได้ให้สัญญาณอะไรออกมา ตลาดก็พร้อมจะเหวี่ยงได้ตลอด
ตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ ที่ออกมาล่าสุดก็ดูไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่นะ อย่างประมาณการครั้งที่ 2 ของ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ของไตรมาสแรกปีนี้ ก็ยังหดตัวอยู่เล็กน้อย แม้จะปรับดีขึ้นจากประมาณการเบื้องต้นก็ตาม จำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกก็เพิ่มขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ สะท้อนว่าตลาดแรงงานอาจจะเริ่มมีแรงกดดันบ้างแล้ว ที่หนักกว่านั้นคือ ตัวเลขการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายก็ลดลงไปถึงระดับต่ำสุดในรอบกว่า 10 ปีเลย อันนี้ชัดเจนว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงชะลอตัวอยู่
**แล้ว “ดาวโจนส์ล่าสุด” ตอนนี้เป็นยังไง? (อ้างอิงจากข้อมูลดิบ ณ วันที่ดังกล่าว)**
ตามข้อมูลที่เราได้รับมา ดัชนีดาวโจนส์ล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 40,326.77 จุดนะ ซึ่งก็มีการปรับตัวขึ้นลงในแต่ละวัน ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็อาจจะเห็นบวกได้บ้าง แต่ในภาพรวมรายเดือนก็อาจจะยังติดลบอยู่บ้างครับ ส่วนถ้ามองภาพยาวรายปีก็ยังเห็นว่าเป็นบวกอยู่ ตรงนี้ก็สะท้อนให้เห็นถึงความผันผวนระยะสั้น แต่ในระยะยาวก็ยังมีการเติบโตอยู่ (แน่นอนว่าข้อมูลเหล่านี้เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ต้องอัปเดตใหม่เสมอนะครับ)
ส่วนประกอบสำคัญที่มีน้ำหนักเยอะๆ ในดาวโจนส์ ก็อย่างเช่น หุ้นของ โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs), ยูไนเต็ดเฮลธ์ กรุ๊ป (UnitedHealth Group) และ ไมโครซอฟท์ (Microsoft) การขึ้นลงของหุ้นเหล่านี้มีผลกับดัชนีโดยตรง ส่วนหุ้นที่ปรับตัวดีที่สุดในช่วงปีที่ผ่านมาก็คือ วอลมาร์ท (Walmart) ที่ขึ้นไปเกือบ 60% ในขณะที่ ไนกี้ (Nike) กลับปรับตัวลงไปค่อนข้างมาก

สำหรับนักลงทุนทั่วไป เราไม่สามารถไปซื้อดัชนีดาวโจนส์ตรงๆ ได้นะครับ แต่เราสามารถลงทุนผ่านตราสารอย่าง Dow Jones Futures หรือซื้อกองทุนรวมที่ลงทุนอิงตามดัชนีนี้ หรือจะเลือกซื้อหุ้นรายตัวที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีก็ได้ครับ
**ตลาดอื่นๆ ล่ะ?**
ไม่ใช่แค่สหรัฐฯ นะครับ ตลาดหุ้นยุโรปก็ปิดลบตามทิศทางตลาดโลกและตัวเลขเศรษฐกิจในภูมิภาค อย่างเยอรมนีที่ตัวเลขนำเข้าหดตัวและการว่างงานเพิ่มขึ้น หรือฝรั่งเศสที่ GDP โตเล็กน้อย ก็มีผลต่อนักลงทุนในยุโรป ส่วนตลาดหุ้นเอเชียก็ผันผวนตามทิศทางดาวโจนส์เหมือนกัน บางวันเปิดลบ บางวันเปิดบวก ขึ้นอยู่กับข่าวสารล่าสุดที่เข้ามา เช่น การประกาศอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางจีน หรือสถานการณ์ของหุ้นใหญ่ในฮ่องกง
ราคาน้ำมันดิบช่วงที่ผ่านมาก็เห็นปรับตัวเพิ่มขึ้นบ้างเหมือนกัน
**สรุปแล้วเราควรทำยังไงดี?**
จากที่เล่ามาทั้งหมด จะเห็นได้ว่า ตลาดหุ้น รวมถึง “ดาวโจนส์ล่าสุด” ตอนนี้ได้รับอิทธิพลจากหลายเรื่องปนเปกันไปหมด ทั้งสงครามการค้าที่ยังไม่จบ ตัวเลขเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ท่าทีของเฟดที่ต้องระมัดระวัง และผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ที่ต้องจับตาดู มันเหมือนกับการขับรถในสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน มีทั้งแดดออก ฝนตก ลมแรง สลับกันไปมา
สิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนอย่างเราๆ คือ “สติ” ครับ
1. **ติดตามข่าวสาร:** พยายามอ่านและทำความเข้าใจข่าวสารเศรษฐกิจและการเมืองที่สำคัญๆ โดยอ้างอิงจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ (อย่างที่เรายกมาในข้อมูล เช่น สำนักข่าวอินโฟเควสท์) เพื่อให้รู้ว่าปัจจัยอะไรกำลังมีผลต่อตลาด
2. **เข้าใจความเสี่ยง:** การลงทุนในตลาดหุ้นมีความเสี่ยงเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดผันผวนแบบนี้ ราคาอาจจะปรับขึ้นลงแรงได้ง่าย ต้องยอมรับความเสี่ยงตรงนี้ได้
3. **ทบทวนแผนการลงทุน:** แผนการลงทุนของคุณเป็นแบบไหน ระยะสั้น ระยะยาว รับความเสี่ยงได้แค่ไหน ลองกลับมาดูว่าแผนปัจจุบันยังเหมาะสมกับสถานการณ์และความสามารถในการรับความเสี่ยงของคุณอยู่หรือไม่
4. **อย่าเพิ่งตื่นตระหนก:** การที่ดัชนี “ดาวโจนส์ล่าสุด” ปรับตัวขึ้นลงแรง ไม่ได้หมายความว่าต้องรีบขายหรือรีบซื้อตามทุกครั้งไปครับ การตัดสินใจโดยใช้อารมณ์อาจทำให้พลาดได้
⚠️ **คำเตือน:** หากคุณเป็นนักลงทุนที่มีเงินลงทุนที่ต้องใช้ในระยะเวลาอันใกล้ หรือไม่พร้อมรับความผันผวนสูง ควรพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ หรืออาจจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจนะครับ อย่าเพิ่งเอาเงินทั้งหมดไปเสี่ยงในช่วงที่ตลาดยังดูสับสนแบบนี้
ตลาดหุ้นยังคงมีเรื่องให้ลุ้นกันอีกเยอะครับ ทั้งการเจรจาการค้าที่จะมีขึ้น การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ ที่จะออกมา หรือท่าทีต่อไปของธนาคารกลางสหรัฐฯ ทั้งหมดนี้จะส่งผลต่อทิศทางของ “ดาวโจนส์ล่าสุด” และตลาดอื่นๆ ทั่วโลกอย่างแน่นอนครับ ติดตามกันต่อไปนะครับ!