สวัสดีครับ/ค่ะ คุณผู้อ่านที่รักในเรื่องราวการเงินและตลาดหุ้นทุกท่าน เคยไหมครับ/คะ ที่เปิดข่าวเช้ามาแล้วเห็นตัวเลขดัชนีตัวหนึ่งที่ชื่อคุ้นหูว่า “ดัชนีดาวโจนส์” หรือบางทีเราก็เรียกกันง่ายๆ ว่า “ดาวโจ” พุ่งขึ้นหรือดิ่งลงทีละหลายร้อยจุด หรือบางครั้งก็เป็นพันจุดเลยทีเดียว แล้วเคยสงสัยไหมครับว่า เจ้าตัวเลขนี้มันคืออะไรกันแน่ สำคัญยังไง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับชีวิตหรือเงินในกระเป๋าของเราบ้าง วันนี้ในฐานะคนเขียนคอลัมน์ที่จะชวนคุยเรื่องการเงินแบบบ้านๆ เรามาทำความรู้จักกับเพื่อนเก่าแก่อย่าง “ดาวโจนส์” กันให้มากขึ้นครับ
**ดาวโจนส์คือใคร? ทำไมต้องสนใจ?**
ลองจินตนาการว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เป็นตลาดทุนใหญ่ที่สุดในโลก มีบริษัทจดทะเบียนอยู่เต็มไปหมดเหมือนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ การจะรู้ว่ามหาสมุทรนี้กำลังอยู่ในสภาวะไหน คลื่นลมแรงไหม หรือนิ่งสงบดี เราก็ต้องมี “เครื่องวัด” หรือ “ดัชนี” ครับ ดัชนีดาวโจนส์ หรือชื่อเต็มๆ คือ Dow Jones Industrial Average (DJIA) นี่แหละคือหนึ่งในเครื่องวัดที่เก่าแก่ที่สุดและทรงอิทธิพลที่สุด สร้างมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตาทวดของเราโดยคุณชาลส์ ดาว และคุณเอ็ดเวิร์ด โจนส์

ปัจจุบัน ดัชนีดาวโจนส์ประกอบไปด้วยหุ้นของบริษัทใหญ่ๆ ในสหรัฐฯ 30 บริษัท ซึ่งเดิมทีเน้นบริษัทอุตสาหกรรม แต่เดี๋ยวนี้ก็หลากหลายขึ้นมาก ครอบคลุมทั้งบริษัทเทคโนโลยี การเงิน สุขภาพ และอื่นๆ เหมือนเป็นการคัดเอา ‘ผู้เล่นตัวหลัก’ 30 คนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มาดูกันว่าทีมนี้กำลังเล่นได้ดีแค่ไหน การเคลื่อนไหวของดาวโจนส์จึงเป็นเหมือนภาพสะท้อนสุขภาพโดยรวมของบริษัทขนาดใหญ่ในอเมริกาครับ
แม้เราจะไม่สามารถเดินไปซื้อ “ดัชนีดาวโจนส์” ได้โดยตรงเหมือนซื้อหุ้นบริษัททั่วไป แต่การเปลี่ยนแปลงของมันส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นบ้านเราด้วย เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้นใหญ่และเชื่อมโยงกับทั่วโลกมากๆ ครับ
**ตลาดหุ้นช่วงนี้… เหมือนนั่งรถไฟเหาะ**
ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ รวมถึงดัชนีสำคัญอื่นๆ อย่าง S&P 500 และ Nasdaq มีการเคลื่อนไหวที่เรียกว่า “ผันผวน” มากครับ บางวันก็ดิ่งลงแรงๆ เป็นร้อยๆ จุด หรือบางช่วงหนักๆ ก็ดิ่งลงเป็นพันจุดเลยทีเดียว เช่นที่เคยเกิดขึ้นจากความกังวลเรื่องสงครามการค้าหรือข่าวลบต่างๆ แต่พอมีข่าวดี หรือตัวเลขเศรษฐกิจออกมาสวยๆ ตลาดก็สามารถเด้งกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็วได้เช่นกัน อย่างเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ดัชนีดาวโจนส์ก็เคยพุ่งพรวดขึ้นไปถึง 740 จุดในวันเดียว รับข่าวดีเรื่องแนวโน้มข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรป
สถานการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในอเมริกา ตลาดหุ้นในภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นในเอเชียอย่างดัชนีนิกเกอิของญี่ปุ่น ก็มักจะเปิดตลาดตามทิศทางของดาวโจนส์ในคืนที่ผ่านมาด้วย เห็นไหมครับว่ามันเกี่ยวข้องกันไปหมดจริงๆ

**อะไรคือปัจจัยที่ทำให้ดาวโจนส์ขึ้นๆ ลงๆ?**
ทีนี้ เรามาดูกันว่าเบื้องหลังการเคลื่อนไหวอันผันผวนนี้มีอะไรซ่อนอยู่บ้าง เปรียบไปก็เหมือนสภาพอากาศที่มีทั้งแดด ฝน พายุ นะครับ
1. **เรื่องการค้าและภาษี:** นี่เป็นปัจจัยใหญ่มากๆ ที่ทำให้ตลาดปั่นป่วนในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่บางทีก็มีข่าวดีเรื่องการเจรจา หรือการบรรลุข้อตกลงชั่วคราวที่ช่วยให้ตลาดหุ้นทั่วโลกหายใจคล่องขึ้น แต่บางทีก็มีข่าวร้าย มีการขู่ขึ้นภาษีกันไปมา หรือแม้แต่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในตอนนั้นอย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เคยออกมาให้ความเห็นหรือแม้แต่ทวีตข้อความเกี่ยวกับเรื่องภาษี ก็มีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างมีนัยสำคัญครับ แม้แต่การที่จีนออกมาเตือนประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ว่าอย่าทำดีลที่กระทบจีน ก็เคยเป็นปัจจัยกดดันตลาดมาแล้ว
2. **นโยบายการเงินของธนาคารกลาง:** พูดง่ายๆ คือทิศทางดอกเบี้ยและการอัดฉีดเงินเข้าระบบของธนาคารกลางสำคัญๆ ของโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “เฟด” (Fed) และธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ครับ การที่เฟดจะส่งสัญญาณลดหรือเพิ่มดอกเบี้ย หรือแม้แต่การส่งสัญญาณว่าจะยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (ที่เรียกกันว่า QE) เร็วกว่าที่คาด ก็สร้างความกังวลให้กับตลาดได้ หรืออย่าง ECB ที่เคยประกาศลดอัตราดอกเบี้ย ก็เป็นสัญญาณว่าธนาคารกลางกำลังพยายามพยุงเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินครับ
3. **ตัวเลขเศรษฐกิจ:** ตัวเลขเหล่านี้คือเหมือนรายงานสุขภาพของประเทศครับ ถ้าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีเกินคาด เช่น จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบปี (เป็นสัญญาณว่าคนมีงานทำมากขึ้น) ตัวเลขรายจ่ายเพื่อการบริโภคเพิ่มขึ้น หรือความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด (เดือนพฤษภาคม 2568 ตัวเลขออกมาที่ 98.0 ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์) ตัวเลขเหล่านี้จะช่วยหนุนตลาดหุ้นให้ปรับตัวขึ้นได้ เพราะนักลงทุนมองเห็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจกำลังแข็งแกร่ง แต่ถ้าตัวเลขออกมาแย่ ก็อาจทำให้ตลาดกังวลและปรับตัวลงได้ครับ ไม่ใช่แค่ตัวเลขในสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ตัวเลขจากประเทศเศรษฐกิจหลักอื่นๆ อย่างจีนหรือเยอรมนี (เช่น ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม, ยอดสั่งซื้อภาคโรงงาน) ก็มีผลต่อบรรยากาศการลงทุนทั่วโลกด้วยครับ
4. **ผลประกอบการของบริษัท:** บริษัทที่อยู่ในดัชนีดาวโจนส์และดัชนีอื่นๆ นั้นมีการประกาศผลกำไรขาดทุนเป็นประจำทุกไตรมาสครับ ถ้าบริษัทใหญ่ๆ อย่าง Microsoft หรือ Meta Platforms (เจ้าของ Facebook) ประกาศผลประกอบการออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ก็จะสร้างความคึกคักให้กับตลาดหุ้นได้มากเลยทีเดียว
5. **การเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัวและกลุ่มอุตสาหกรรม:** บางครั้ง การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของหุ้นเพียงไม่กี่ตัวที่มีน้ำหนักเยอะในดัชนี ก็สามารถดึงให้ดัชนีโดยรวมปรับตัวลงได้ครับ เคยมีช่วงที่หุ้นของบริษัท UnitedHealth หรือหุ้นเทคโนโลยีอย่าง Nvidia ร่วงลงอย่างมีนัยสำคัญ ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ดาวโจนส์ดิ่งลงตามไปด้วย แต่ในทางกลับกัน หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น Tesla, AMD, Apple หรือแม้แต่หุ้นอย่าง U.S. Steel ที่ได้ข่าวดีเรื่องการเข้าซื้อกิจการ ก็เคยปรับตัวขึ้นและช่วยหนุนตลาดได้ครับ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปก็มีปัจจัยเฉพาะตัว เช่น หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศที่พุ่งขึ้นจากข่าวความขัดแย้งระหว่างประเทศ

6. **ราคาสินค้าโภคภัณฑ์:** สินค้าอย่างน้ำมันดิบหรือทองคำก็มีผลต่อตลาดหุ้นในหลายๆ ด้าน เช่น เมื่อราคาน้ำมันดิบ WTI และ Brent ปรับตัวลดลง ก็อาจส่งผลต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน ในขณะที่ราคาทองคำบ้านเราเองก็มีการปรับตัวลงเช่นกัน เช่นที่สมาคมค้าทองคำประกาศราคาล่าสุดเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ที่ราคาลดลงไป 400 บาท ซึ่งสะท้อนถึงปัจจัยหลายอย่างในตลาดการเงินโดยรวมครับ
**แล้วนักลงทุนอย่างเราควรทำอย่างไรดี?**
จากที่คุยกันมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า ดัชนีดาวโจนส์ หรือจะเรียกว่า ดาวโจ ก็ได้ เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญ แต่ก็มีความซับซ้อนและได้รับอิทธิพลจากปัจจัยสารพัดอย่างทั้งในและนอกประเทศสหรัฐฯ การเคลื่อนไหวของมันสะท้อนทั้งเรื่องดี (เศรษฐกิจแข็งแกร่ง, ผลประกอบการดี) และเรื่องที่ต้องกังวล (สงครามการค้า, นโยบายไม่แน่นอน)
สำหรับนักลงทุนอย่างเราๆ สิ่งสำคัญที่สุดคือการ “ตามให้ทัน” และ “ทำความเข้าใจ” ครับ
* **อย่าเพิ่งตกใจกับความผันผวนระยะสั้น:** ตลาดหุ้นขึ้นลงเป็นเรื่องปกติครับ การดิ่งลงแรงๆ ในบางวัน อาจเป็นผลจากข่าวชั่วคราว หรือการปรับฐานทางเทคนิค (ซึ่งบางคนก็ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น พวก Oscillator หรือ Moving Average มาช่วยประเมินแนวโน้ม) หากเรามีแผนการลงทุนระยะยาว การแกว่งตัวระยะสั้นอาจไม่ใช่เรื่องที่ต้องวิตกกังวลมากนัก
* **ศึกษาปัจจัยพื้นฐาน:** ทำความเข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่ขับเคลื่อนตลาดจริงๆ ทั้งตัวเลขเศรษฐกิจ นโยบายของธนาคารกลาง และผลประกอบการของบริษัทต่างๆ
* **กระจายความเสี่ยง:** แทนที่จะไปโฟกัสที่หุ้นหรือตลาดใดตลาดหนึ่ง การกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์หรือภูมิภาคที่หลากหลายจะช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตลงทุนได้ครับ
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลงรุนแรงแค่ไหน การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอครับ เราในฐานะผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ทำความเข้าใจความเสี่ยงของสินทรัพย์ที่เราจะลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นการซื้อขายตราสารที่มีการใช้เลเวอเรจ (เช่น ฟิวเจอร์ส) ซึ่งอาจทำให้ขาดทุนมากกว่าเงินลงทุนเริ่มต้นได้ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินหากไม่แน่ใจ และประเมินระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้งนะครับ การมีความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องคือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดในโลกการเงินที่ผันผวนนี้ครับ