ดาวโจนส์ผันผวน! จับตาภาษีทรัมป์ เขย่าตลาดโลก

ช่วงนี้หันไปทางไหน ข่าวตลาดหุ้นก็มาแรงจริงๆ ครับ/ค่ะ เห็นดัชนีต่างๆ ทั่วโลกเด้งขึ้นย่อลงกันรายวัน จนหลายคนอาจจะตามไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง โดยเฉพาะดัชนีที่คนทั่วโลกจับตาอย่าง ดาวโจนส์ ตัวแทนหุ้นยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ เนี่ย มีเรื่องให้ลุ้นตลอดเลยครับ/ค่ะ วันนี้เลยอยากชวนทุกคนมานั่งจับเข่าคุยกันสบายๆ สไตล์คอลัมนิสต์การเงิน ว่าเบื้องหลังความเคลื่อนไหวพวกนี้มันมีอะไรซ่อนอยู่บ้าง จากข้อมูลล่าสุดที่เราเห็นๆ กันมาในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2568 นี้ครับ/ค่ะ

ถ้าดูภาพรวมล่าสุดเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมา จะเห็นว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรวมยังคงปิดบวกได้นะครับ/คะ ทั้ง ดาวโจนส์ เองที่บวกไปกว่าร้อยจุด ปิดที่ 42,215.73 จุด เพิ่มขึ้น 0.28% ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ก็พลอยบวกตามไปด้วย แรงส่งสำคัญที่ทำเอาตลาดคึกคักก็ต้องยกให้พี่ใหญ่แห่งวงการชิปปัญญาประดิษฐ์อย่าง Nvidia ที่ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1 ออกมาได้แข็งแกร่งเกินคาดจริงๆ ครับ/ค่ะ เห็นแล้วก็ต้องยอมรับว่าความต้องการชิป AI นี่มันแรงไม่ตกเลย

แต่จะว่าไป ตลาดหุ้นสหรัฐฯ รอบนี้เหมือนจะไปได้ไม่สุดเท่าที่ควร เหมือนมีอะไรมากดๆ เพดานไว้หน่อยๆ ส่วนหนึ่งมาจากประเด็นร้อนทางการเมืองที่กลับมาอีกแล้ว นั่นก็คือเรื่องภาษีนำเข้าของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ยังคงมีความไม่แน่นอนทางกฎหมายอยู่ครับ/ค่ะ

เรื่องนี้มันวุ่นวายหน่อยนะ เล่าแบบบ้านๆ คือตอนแรกศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ตัดสินว่าคำสั่งเก็บภาษีแบบครอบคลุมของท่านทรัมป์เนี่ย ใช้อำนาจเกินขอบเขตไปหน่อยนะ สั่งให้ระงับไปเลย แต่พอรัฐบาลปัจจุบันยื่นอุทธรณ์อย่างรวดเร็ว ทางศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ก็กลับมีคำสั่งให้ระงับคำตัดสินของศาลการค้าฯ ไว้ชั่วคราว ทำให้มาตรการภาษีของทรัมป์ยังคงมีผลบังคับใช้ไปพลางๆ ก่อน ระหว่างที่ศาลกำลังพิจารณาคำร้องอุทธรณ์อยู่ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ก็บอกว่า คำตัดสินศาลล่างเนี่ย มันกระทบกับอำนาจของประธานาธิบดีในการดำเนินนโยบายต่างประเทศนะเออ เรื่องนี้เลยยังต้องตามดูกันต่อไปว่าผลสุดท้ายจะออกมาแบบไหน เพราะมันส่งผลต่อนักลงทุนและภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าส่งออกไม่น้อยเลยล่ะครับ/ค่ะ

ในขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอมีแรงบวกจาก Nvidia และลุ้นเรื่องภาษี ตลาดหุ้นทางฝั่งยุโรปกับราคาน้ำมันดิบกลับปิดลบไปเมื่อวันที่ 29 พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งก็อาจจะสะท้อนความกังวลต่อผลกระทบจากมาตรการภาษีทรัมป์ที่ยังค้างคาอยู่ หรือในส่วนน้ำมันดิบก็อาจจะเป็นเพราะนักลงทุนกำลังจับตารอดูผลการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC+) ว่าจะมีทิศทางอย่างไรต่อครับ/ค่ะ

หันกลับมาดูตลาดหุ้นไทยบ้านเรา ก็ยังดูไม่ค่อยสดใสนัก ปิดบวกได้เพียงเล็กน้อยมากๆ สวนทางกับตลาดอื่นที่บวกมากกว่า สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนยังมีความไม่มั่นใจกับทิศทางกำไรของบริษัทจดทะเบียนและภาพรวมเศรษฐกิจไทยโดยรวมครับ/ค่ะ แม้ว่าราคาหุ้นหลายตัวจะลงมาอยู่ในระดับที่เรียกว่า Valuation (มูลค่าหุ้นเมื่อเทียบกับกำไรหรือปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ) ไม่ได้แพงแล้วก็ตาม

นักวิเคราะห์จากหลายโบรกเกอร์ก็ยังคงมีมุมมองที่ระมัดระวัง บล.พาย เองก็ยังไม่แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ เพราะมองว่าตลาดยังขาดปัจจัยหนุนที่ชัดเจน และสถานการณ์โลกก็ยังดูไม่ค่อยนิ่งเท่าไหร่ครับ/ค่ะ อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนระยะสั้นที่พอรับความเสี่ยงได้ อาจจะลองเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มที่เรียกว่า Defensive (หุ้นที่มักจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจขาลงไม่มากนัก) เช่น กลุ่มโรงพยาบาล (BDMS), กลุ่มสื่อสาร (ADVANC), หรือกลุ่มอาหาร (CPALL, CPF) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มที่จะถูกปรับลดประมาณการกำไรต่ำกว่ากลุ่มอื่นในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวแบบนี้

นอกจากเรื่องตลาดหุ้นและภาษีแล้ว ปัจจัยด้านนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ก็ยังเป็นสิ่งที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญมากๆ ครับ/ค่ะ รายงานการประชุมคณะกรรมการเฟดรอบล่าสุด (6-7 พฤษภาคม) ก็เผยให้เห็นว่ากรรมการเฟดเองก็กังวลไม่น้อยกับการที่เงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง ขณะเดียวกันอัตราว่างงานก็เริ่มปรับเพิ่มขึ้นพร้อมๆ กัน เป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างซับซ้อน ทำให้เฟดยังคงใช้ท่าทีแบบ “รอดูข้อมูล” (Data-dependent) และรอความชัดเจนเรื่องนโยบายการค้าด้วยครับ/ค่ะ

ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาช่วงนี้ก็มีทั้งดีและไม่ดีปนกันไปครับ/ค่ะ อย่างตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ของ GDP ไตรมาส 1/2568 ที่ออกมาหดตัว 0.2% อันนี้ถือว่าดีขึ้นกว่าที่เคยประมาณการครั้งแรกว่าจะหดตัวถึง 0.3% สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ตัวเลขดีกว่าคาดหน่อย มาจากการนำเข้าที่ขยายตัวสูงและการลงทุนภาคเอกชนที่เร่งขึ้นครับ/ค่ะ แต่ในมุมที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ก็มี อย่างจำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ หรือดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายที่ลดลงมากกว่าที่คาด ซึ่งสะท้อนว่าตลาดแรงงานและตลาดที่อยู่อาศัยก็ยังมีความอ่อนแออยู่บ้าง

แต่ก็มีตัวเลขที่ดีเซอร์ไพรส์เหมือนกันนะครับ/คะ คือดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนพฤษภาคมที่ปรับตัวขึ้นสูงกว่าคาดมาก ส่วนหนึ่งได้แรงหนุนจากข่าวความคืบหน้าของการเจรจาข้อตกลงการค้าชั่วคราวระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งช่วยลดความกังวลเรื่องสงครามการค้าไปได้บ้างครับ/ค่ะ

และตัวเลขสำคัญที่นักลงทุนกำลังจับตาใกล้ชิดในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทิศทางดอกเบี้ยของเฟด ก็คือดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล หรือ PCE ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคและครอบคลุมสินค้า/บริการได้กว้างกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ถ้าตัวเลข PCE ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ (ปัจจุบันคาด PCE ที่ 2.2%YoY และ Core PCE ที่ 2.5%YoY) ก็อาจจะเป็นปัจจัยบวกเข้ามาหนุนตลาดหุ้นได้ เพราะจะช่วยคลายความกังวลเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดลงไปครับ/ค่ะ

ในส่วนของผลประกอบการบริษัทนอกเหนือจาก Nvidia แล้ว ก็มีทั้งดีและไม่ดีครับ/ค่ะ อย่าง Best Buy ร้านค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ หุ้นก็ร่วงลงพอสมควรหลังจากปรับลดคาดการณ์ยอดขายและกำไรลง เพราะกังวลว่าภาษีนำเข้าจะกระทบกำลังซื้อสินค้าแพงๆ ของผู้บริโภค ในขณะที่ Boeing ผู้ผลิตเครื่องบิน หุ้นกลับปรับตัวขึ้นหลังจากซีอีโอประกาศแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตเครื่องบินรุ่นยอดนิยมอย่าง 737 MAX ซึ่งแสดงความเชื่อมั่นในอนาคตของธุรกิจ

มองกลับมาที่บริษัทจดทะเบียนในไทยบ้าง อย่าง CPALL และ CPF ก็เป็นอีกสองตัวที่นักวิเคราะห์จาก บล.พาย ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ครับ/ค่ะ โดยให้ราคาเป้าหมาย CPALL ที่ 80.00 บาท และ CPF ที่ 34.00 บาท สำหรับ CPALL ผลประกอบการไตรมาส 1/2568 ทำสถิติสูงสุดใหม่เลยนะ กำไรสุทธิ 7.6 พันล้านบาท เติบโต 20% จากปีก่อน และ 6% จากไตรมาสก่อนหน้า ดีกว่าที่คาดไว้เยอะเลย ได้แรงหนุนหลักจากยอดขายสาขาเดิมของ 7-Eleven ที่แข็งแกร่ง และกำไรจาก CPAXT ที่ดีขึ้น ส่วน CPF ก็คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 2/2568 จะยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง จากราคาเนื้อสัตว์ที่ปรับตัวดีขึ้น (โดยเฉพาะสุกรในไทยและเวียดนาม) ต้นทุนกากถั่วเหลืองที่ลดลง และผลดีจากการนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ (ถ้าเกิดขึ้น)

ส่วนปัจจัยภายในประเทศที่จะช่วยหนุนเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยตอนนี้ ส่วนใหญ่ก็ยังคงพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวครับ/ค่ะ ล่าสุดก็มีการจัดงาน “สวัสดี หนีห่าว” ฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีนครบรอบ 50 ปี เพื่อเดินหน้ากระตุ้นนักท่องเที่ยวจีนให้เข้ามาเที่ยวไทยมากขึ้น เพราะจีนยังเป็นตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพที่สำคัญมากๆ ถ้าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนกลับมาได้ดีจริงๆ ก็จะเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญที่จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยและส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมได้ครับ/ค่ะ

สรุปภาพรวมตอนนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะ ดาวโจนส์ ยังอยู่ในช่วงที่ปัจจัยบวก (อย่างผลประกอบการบริษัทเทคโนโลยี) กับปัจจัยลบ (ความไม่แน่นอนทางการเมืองเรื่องภาษี, ตัวเลขเศรษฐกิจบางตัวที่ยังอ่อนแอ) กำลังต่อสู้กันอยู่ ตลาดหุ้นไทยเองก็ยังดูอ่อนแอ รอคอยปัจจัยบวกที่ชัดเจน ทั้งจากภายนอกและภายใน

สำหรับนักลงทุนในช่วงนี้ ต้องบอกว่า “ระมัดระวัง” ไว้ก่อนน่าจะดีที่สุดครับ/ค่ะ สภาพตลาดโดยรวมยังมีความผันผวนสูง หากรับความเสี่ยงได้ไม่มาก อาจจะถือเงินสดหรือลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่าไปก่อน แต่ถ้าใจร้อนอยากเทรดจริงๆ และรับความเสี่ยงได้สูง บล.พาย ก็แนะนำให้เก็งกำไรในหุ้นกลุ่ม Defensive ที่ดูแข็งแกร่งกว่าตลาดโดยรวมครับ/ค่ะ และอย่าลืมจับตาตัวเลข PCE ของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ด้วยนะ

โปรดจำไว้ว่า การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ ควรศึกษาข้อมูลและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินก่อนตัดสินใจลงทุนนะครับ/คะ

หวังว่าข้อมูลสรุปนี้จะช่วยให้ทุกคนเห็นภาพรวมของตลาดการเงินในช่วงนี้ได้ชัดเจนขึ้นนะครับ/คะ แล้วพบกันใหม่ในคอลัมน์ครั้งหน้าครับ/ค่ะ

Leave a Reply