ดาวโจนส์ผันผวนหนัก! เข้าใจปัจจัยเสี่ยง ก่อนเทรดตาม

ช่วงนี้ใครเปิดดูข่าวสารบ้านเราหรือข่าวต่างประเทศบ่อยๆ น่าจะเห็นคำว่า “ดาวโจนส์” ปรากฏขึ้นมาบ่อยๆ ใช่ไหมครับ บางวันก็เห็นพาดหัวข่าวว่า “ดาวโจนส์พุ่งแรง” บางวันก็ “ดาวโจนส์ร่วงหนัก” ทำเอาคนตามงงไปหมดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมดัชนีตัวนี้มันถึงได้ขึ้นๆ ลงๆ เหมือนนั่งรถไฟเหาะขนาดนี้ วันนี้ผมในฐานะคอลัมนิสต์สายการเงินที่พยายามเล่าเรื่องยากๆ ให้เข้าใจง่าย จะพาไปเจาะลึกเบื้องหลังความผันผวนของ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average) ซึ่งเป็นหนึ่งในดัชนีตลาดหุ้นที่เก่าแก่และทรงอิทธิพลที่สุดในโลกกันครับ

เอาเข้าจริง ไม่ใช่แค่ ดัชนีดาวโจนส์ เท่านั้นนะครับที่ช่วงนี้ผันผวน ดัชนีอื่นๆ ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่าง S&P 500 หรือ Nasdaq ก็ออกอาการคล้ายๆ กัน นั่นเป็นเพราะตลาดหุ้นโดยรวมกำลังเผชิญกับปัจจัยสารพัดอย่างที่เข้ามาปะทะพร้อมๆ กัน ลองนึกภาพเหมือนเรากำลังเดินอยู่กลางสี่แยกใหญ่ๆ แล้วมีรถวิ่งมาจากทุกทิศทางนั่นแหละครับ ปัจจัยเหล่านี้มีอะไรบ้าง? เยอะแยะไปหมดครับ แต่หลักๆ ที่กำลังขับเคลื่อนตลาดอยู่ในตอนนี้มีอยู่สองสามเรื่องที่เราเห็นได้ชัด

เรื่องแรกเลยที่กระทบหนักมากคือ “เรื่องการค้า” หรือที่หลายคนเรียกกันติดปากว่า “เทรดวอร์” นั่นแหละครับ ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศใหญ่ๆ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกากับจีนเนี่ย มีผลอย่างมากต่อบรรยากาศการลงทุน พอมีข่าวดีเรื่องข้อตกลงการค้า หุ้นก็มักจะดีดตัวขึ้น แต่พอมีข่าวตึงเครียด เช่น สหรัฐฯ ขู่จะเก็บภาษีนำเข้าจากสินค้ายุโรป หรือสถานการณ์การค้ากับจีนกลับมาวุ่นวายอีกครั้ง ดัชนีดาวโจนส์ และตลาดหุ้นอื่นๆ ก็มักจะปรับตัวลงทันที เหมือนเวลาเราทำธุรกิจ ถ้าลูกค้าใหญ่มีปัญหากับซัพพลายเออร์รายสำคัญ ธุรกิจเราก็ย่อมได้รับผลกระทบตามไปด้วย ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อย่างคุณเจอโรม พาวเวลล์ เองก็ยังแสดงความกังวลถึงผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรพวกนี้เลยครับ นั่นแสดงว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่มองข้ามได้เลย

อีกปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กันคือ “ผลประกอบการ” หรือกำไรของบริษัทจดทะเบียนยักษ์ใหญ่ต่างๆ ครับ ลองดูตัวอย่างง่ายๆ อย่างหุ้นเทคโนโลยีชื่อดังอย่าง Nvidia หรือบริษัทซอฟต์แวร์อย่าง Microsoft หรือแม้แต่เจ้าพ่อโซเชียลอย่าง Meta Platforms (ที่เราใช้ Facebook, Instagram กัน) ถ้าบริษัทเหล่านี้ประกาศผลประกอบการออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้มากๆ หุ้นของพวกเขาก็จะพุ่งขึ้น และเนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักในดัชนีสำคัญๆ เช่น ดัชนีดาวโจนส์ หรือ Nasdaq การขึ้นลงของหุ้นเหล่านี้จึงส่งผลกระทบต่อภาพรวมของดัชนีอย่างมีนัยสำคัญ ในทางกลับกัน หากผลประกอบการน่าผิดหวัง หรือมีข่าวร้ายเฉพาะบริษัท เช่น หุ้นของ UnitedHealth เคยสร้างแรงกดดันต่อ ดัชนีดาวโจนส์ ในบางช่วง ตลาดก็อาจจะเทขายหุ้นนั้นๆ จนฉุดให้ดัชนีร่วงลงตามไปด้วย ลองคิดดูนะครับ เหมือนทีมฟุตบอล ถ้าผู้เล่นตัวหลักฟอร์มดีทั้งทีมก็มีโอกาสชนะสูง แต่ถ้าตัวหลักบาดเจ็บหรือฟอร์มตก ก็อาจจะแพ้ได้ ตลาดหุ้นก็คล้ายๆ กันครับ

นอกจากเรื่องการค้าและผลประกอบการแล้ว “ข้อมูลเศรษฐกิจ” และ “นโยบายการเงิน” ก็เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกจับตาดูแบบไม่กะพริบเลยครับ ข้อมูลล่าสุดอย่างดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคม ที่แข็งแกร่งกว่าที่หลายคนคาดการณ์ไว้ (อยู่ที่ 98 จุด) หรือข้อมูลการจ้างงานที่ออกมาดีในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ก็เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีความแข็งแกร่ง ซึ่งโดยปกติแล้วข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีมักจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น เพราะหมายถึงบริษัทต่างๆ น่าจะทำธุรกิจได้ดี มีคนจับจ่ายใช้สอย มีการจ้างงานต่อเนื่อง แต่ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ก็ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ บันทึกการประชุมของเฟด (รอบวันที่ 6-7 พฤษภาคม 2568) ระบุชัดเจนว่าคณะกรรมการยังมองว่านโยบายการเงินแบบระมัดระวังยังคงเหมาะสมในช่วงที่เศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอน และอาจจะต้องเผชิญทางเลือกที่ยากลำบากถ้าเงินเฟ้อกลับมาเร่งตัวขึ้นอีกครั้ง ตรงนี้เป็นจุดที่นักลงทุนต้องตีความครับ เศรษฐกิจดีก็ดี แต่ถ้าดีเกินไปจนเงินเฟ้อสูง เฟดอาจจะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งนั่นอาจจะเป็นผลลบต่อตลาดหุ้นได้ เหมือนเราเหยียบคันเร่งรถ ถ้าเหยียบแรงไปก็ต้องเบรกแรง ตลาดหุ้นก็กังวลว่าเบรกของเฟดจะทำให้รถสะดุดหรือเปล่า นอกจากเฟดแล้ว นักลงทุนก็ยังจับตานโยบายของธนาคารกลางอื่นๆ อย่างธนาคารกลางจีนด้วยครับ

ทีนี้มาดูตัวเลขของ ดัชนีดาวโจนส์ กันบ้าง ให้เห็นภาพชัดๆ ครับ ณ วันที่ข้อมูลมีการอัปเดต ดัชนีดาวโจนส์ ปิดอยู่ที่ประมาณ 40,326.77 จุด ซึ่งถ้าเทียบกับการเปลี่ยนแปลงในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาก็มีการปรับลดลงเล็กน้อยประมาณ -0.29% แต่ถ้าดูในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ กลับปรับตัวเพิ่มขึ้นมาได้ถึง 1.50% ซึ่งแสดงให้เห็นความผันผวนระยะสั้นได้เป็นอย่างดี แต่พอมองย้อนไปตั้งแต่เดือนที่แล้ว กลับติดลบอยู่ประมาณ -2.35% ครับ ส่วนภาพใหญ่ขึ้นมาในรอบปีที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ ยังคงให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกอยู่ประมาณ 5.19% ซึ่งก็ถือว่ายังเติบโตได้ในระยะยาว แม้จะเจอคลื่นลมแรงๆ บ้างระหว่างทาง ถ้ามองย้อนอดีตไปไกลกว่านั้น ดัชนีดาวโจนส์ เคยทำสถิติสูงสุดใกล้เคียง 45,073.63 จุด เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2024 และเคยทำราคาต่ำที่สุดเท่าที่เคยมีมาตั้งแต่เริ่มต้นบันทึกข้อมูล อยู่ที่เพียง 28.48 จุด เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 1896! ฟังแล้วน่าทึ่งใช่ไหมครับว่ามันเดินทางมาไกลขนาดไหน

สำหรับหุ้นที่เป็นองค์ประกอบสำคัญใน ดัชนีดาวโจนส์ และมีราคาสูงๆ ในปัจจุบันก็มีหลายตัว เช่น NYSE:GS หรือ Goldman Sachs, NYSE:UNH หรือ UnitedHealth Group, และ NASDAQ:MSFT หรือ Microsoft ซึ่งการขึ้นลงของหุ้นเหล่านี้ก็มีผลต่อดัชนีโดยรวม หุ้นที่ทำผลงานโดดเด่นที่สุดในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาคือ NYSE:WMT หรือ Walmart ที่ปรับขึ้นมาถึงกว่า 59.59% ในขณะที่หุ้นที่อ่อนแอที่สุดในรอบ 1 ปีคือ NYSE:NKE หรือ Nike ที่ปรับลดลงไปถึง -39.07% จะเห็นได้ว่าแม้ดัชนีโดยรวมจะบวก แต่หุ้นรายตัวก็มีทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ในตลาด ซึ่งนี่คือธรรมชาติของการลงทุนครับ

ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะ ดัชนีดาวโจนส์ S&P 500 และ Nasdaq ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในอเมริกาเท่านั้นนะครับ แต่ยังส่งแรงกระเพื่อมไปถึงตลาดหุ้นทั่วโลกด้วย ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นเอเชียอย่างนิกเกอิของญี่ปุ่น หรือฮั่งเส็งของฮ่องกง ไปจนถึงตลาดหุ้นในยุโรปด้วยครับ ส่วนตลาดการเงินอื่นๆ เช่น ราคาน้ำมัน WTI และ Brent ช่วงนี้ก็ปิดบวก ขณะที่ราคาทองคำปิดลบเล็กน้อย สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ก็ล้วนเชื่อมโยงและส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนทั่วโลกครับ

สำหรับคนที่สนใจอยากจะ “ลงทุนตาม ดัชนีดาวโจนส์” ต้องเข้าใจก่อนนะครับว่า เราไม่สามารถซื้อตัว “ดัชนี” ได้โดยตรง มันเป็นเพียงค่าทางสถิติที่สะท้อนภาพรวม แต่เราสามารถลงทุนในตราสารทางการเงินที่อ้างอิงกับดัชนีนี้ได้ เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) ที่อ้างอิง ดัชนีดาวโจนส์ หรือลงทุนผ่านกองทุนรวมที่ไปลงทุนในหุ้นที่เป็นองค์ประกอบของ ดัชนีดาวโจนส์ หรือจะเลือกซื้อหุ้นรายตัวที่เป็นองค์ประกอบในดัชนีเลยก็ได้ครับ

เรื่องสำคัญที่ต้องย้ำเลยคือ การลงทุนในตลาดหุ้น ไม่ว่าจะเป็น ดัชนีดาวโจนส์ หรืออะไรก็ตาม มีความเสี่ยงสูงมาก! ไม่ใช่แค่หุ้นนะครับ ตราสารทางการเงินอื่นๆ หรือแม้แต่เงินดิจิทัลก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน ราคาของมันผันผวนมากและได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกสารพัดอย่างที่เราคุยกันไป ทั้งเรื่องการค้า นโยบายเศรษฐกิจ ข่าวสารบริษัท หรือแม้แต่ปัจจัยทางเทคนิคจากสัญญาณซื้อขายต่างๆ สัญญาณทางเทคนิค (พวก Oscillators หรือ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่) ที่เราเห็นในข้อมูล ก็ออกมาหลากหลาย บางช่วงมีแรงซื้อมาก บางช่วงมีแรงขายมาก ทำให้ภาพรวมไม่ชัดเจน ซึ่งสะท้อนความไม่แน่นอนในตลาดนั่นเอง

ดังนั้น หากคิดจะกระโดดเข้าสู่สนามการลงทุนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การเดาว่า ดัชนีดาวโจนส์ จะพุ่งหรือจะร่วงพรุ่งนี้ แต่เป็นการ “ศึกษาข้อมูล” ให้เข้าใจอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน ประเมินความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ และที่สำคัญที่สุดคือ “ไม่นำเงินที่จำเป็นต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หรือเงินที่เราไม่พร้อมจะเสียไปทั้งหมด มาลงทุนเด็ดขาด” เพราะมีความเป็นไปได้ที่จะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้ครับ การลงทุนที่ดีคือการลงทุนที่เราเข้าใจในสิ่งที่เราลงทุน และบริหารความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่เรานอนหลับสบายได้ในทุกคืน ไม่ว่า ดัชนีดาวโจนส์ จะขึ้นหรือลงแรงแค่ไหนก็ตามครับ

Leave a Reply