
เคยไหมครับ เวลาดูข่าวเศรษฐกิจ หรือเปิดแอปฯ หุ้นขึ้นมา แล้วเห็นตัวเลขแปลกๆ ที่ไม่ใช่แค่ SET Index บ้านเรา แต่เป็นชื่อยาวๆ อย่าง S&P 500, NASDAQ, DAX, Nikkei หรือ ฮั่งเส็ง? บางทีตัวเลขพวกนี้มันวิ่งกันคึกคักกว่าหุ้นไทยเราเสียอีก จนอดสงสัยไม่ได้ว่า “แล้วไอ้ **ดัชนีทั่วโลก** พวกนี้ มันเกี่ยวอะไรกับเรานักลงทุนในไทย?”
จริงๆ แล้วเรื่องของ **ดัชนีทั่วโลก** ไม่ได้ไกลตัวอย่างที่คิดเลยครับ มันเหมือนเป็น “สมุดพก” หรือ “รายงานผลการดำเนินงาน” ฉบับใหญ่ของตลาดหุ้นในแต่ละประเทศ หรือแต่ละภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งการเคลื่อนไหวของ **ดัชนีทั่วโลก** เนี่ยแหละ มีอิทธิพลสำคัญมากๆ ที่ส่งผลมาถึงตลาดหุ้นไทยของเราในหลายๆ มิติ เหมือนเป็นลมที่พัดมาจากแดนไกล ส่งผลกระทบมาถึงบ้านเราเลยทีเดียว
**ช่วงนี้ ดัชนีทั่วโลก เค้าเป็นไงกันบ้างนะ? มาดูกันแบบสรุปๆ**
ลองมองไปที่หน้าจอเทรดหุ้น หรือดูสรุปข่าวการเงินช่วงนี้ จะเห็นว่า **ดัชนีทั่วโลก** ก็มีจังหวะขึ้นลงปะปนกันไปครับ แต่ที่น่าสนใจคือในแต่ละภูมิภาคก็มีเรื่องราวของตัวเอง
* **ฝั่งสหรัฐฯ:** ดัชนีใหญ่ๆ อย่าง ดัชนี S&P 500 ที่รวม 500 บริษัทใหญ่ของอเมริกา กับ ดัชนีแนสแด็ก (NASDAQ) ที่เน้นหุ้นเทคโนโลยี ดูเหมือนจะมีแรงซื้อดันขึ้นต่อเนื่อง แสดงถึงความเชื่อมั่นในหุ้นกลุ่มนี้ ส่วน ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average) ที่เป็นเหมือนตัวแทนภาคอุตสาหกรรม ก็ดูทรงๆ เป็นกลางๆ ไป
* **ฝั่งยุโรป:** อันนี้ต้องบอกว่าคึกคักเป็นพิเศษเลยครับ ดัชนีสำคัญหลายตัวในยุโรปอย่าง ดัชนีแด็กซ์ (DAX) ของเยอรมนี, ดัชนี CAC 40 ของฝรั่งเศส, ดัชนี STOXX 50 ที่รวม 50 บริษัทใหญ่ทั่วยุโรป หรือ ดัชนี IBEX 35 ของสเปน ส่วนใหญ่ปิดบวกแข็งแกร่ง ติดต่อกันหลายวันด้วยนะ ส่วน ดัชนี FTSE 100 ของลอนดอนก็พลอยได้อานิสงส์ปิดบวกตามเขาไปด้วย โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารดูจะวิ่งดีเป็นพิเศษ แรงหนุนหลักๆ มาจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในยุโรปที่ออกมาดีกว่าคาดนั่นเองครับ
* **ฝั่งเอเชีย/แปซิฟิก:** แถบนี้ก็ไม่น้อยหน้าครับ ดัชนีนิกเกอิ (Nikkei 225) ของญี่ปุ่นก็มีแนวโน้มเป็นบวก เช่นเดียวกับ ดัชนี KOSPI ของเกาหลีใต้ที่ปิดบวกต่อเนื่อง โดยมีหุ้นกลุ่มยานยนต์และชีวภาพเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ส่วน ดัชนี S&P/ASX 200 ของออสเตรเลียก็ปิดบวกติดต่อกัน ได้แรงหนุนจากความคาดหวังว่าธนาคารกลางออสเตรเลียอาจจะลดอัตราดอกเบี้ยเร็วๆ นี้
แต่พอมาดูที่จีนแผ่นดินใหญ่ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต (Shanghai Composite) ดูจะซึมๆ ลบเล็กน้อยถึงเป็นกลางครับ ท่ามกลางความกังวลและนักลงทุนกำลังจับตาดูตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่จะประกาศออกมาอย่าง ดัชนีภาคการผลิตและภาคบริการ (PMI) ขณะที่ ดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index) ของฮ่องกงกลับมามีแนวโน้มเป็นบวกได้
ส่วนพี่ใหญ่ในเอเชียใต้อย่าง ดัชนีเซนเซ็กซ์ (Sensex) ของอินเดีย ก็มีการซื้อขายที่ผันผวน แต่โดยรวมก็มีแนวโน้มเป็นบวกอยู่บ้างจากกระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าไป

แล้วตลาดหุ้นไทยเราล่ะ? ดัชนี SET ของเราในช่วงที่ผ่านมา ก็มีบางช่วงที่ปิดบวกตามภูมิภาคครับ แต่ภาพรวมก็ยังอยู่ในภาวะแกว่งตัวในกรอบแคบๆ และมีวอลุ่ม (มูลค่าซื้อขาย) ค่อนข้างเบาบางในช่วงเช้าๆ ซึ่งก็สะท้อนภาพของการ “รอ” ปัจจัยใหม่ๆ หรือการจับตา **ดัชนีทั่วโลก** และสถานการณ์อื่นๆ อย่างใกล้ชิดนั่นแหละ
**ปัจจัยอะไรบ้าง ที่ทำให้ ดัชนีทั่วโลก มันวิ่งขึ้นวิ่งลงได้ขนาดนี้?**
การเคลื่อนไหวของ **ดัชนีทั่วโลก** ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ ครับ มันมีปัจจัยหลายอย่างมารุมล้อม ทั้งเรื่องใหญ่ระดับโลกไปจนถึงเรื่องเฉพาะประเทศ
1. **นโยบายการเงินของธนาคารกลาง:** อันนี้สำคัญมากๆ เลยครับ การที่ธนาคารกลางของประเทศเศรษฐกิจใหญ่ๆ เช่น สหรัฐฯ (Fed), ยุโรป (ECB) หรืออังกฤษ (BOE) ตัดสินใจว่าจะขึ้น ลด หรือคงอัตราดอกเบี้ย หรือใช้มาตรการอื่นๆ มันส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปทั่วโลก เพราะอัตราดอกเบี้ยคือต้นทุนทางการเงิน ถ้าดอกเบี้ยสูงขึ้น การกู้ยืมแพงขึ้น บริษัทอาจจะชะลอการลงทุน คนอาจจะจับจ่ายน้อยลง ซึ่งจะกระทบต่อผลประกอบการและราคาหุ้นได้ ในทางกลับกัน ถ้าดอกเบี้ยต่ำ ก็อาจจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดหุ้นได้ครับ อย่างที่เห็นในออสเตรเลียที่ตลาดหุ้นดีดเพราะคาดหวังการลดดอกเบี้ย
2. **ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ:** เหมือนรายงานสุขภาพของประเทศต่างๆ ครับ ตัวเลขอย่าง อัตราแลกเปลี่ยน, อัตราเงินเฟ้อ (ของแพงขึ้นแค่ไหน), อัตราการว่างงาน (คนมีงานทำเยอะไหม), อัตราผลผลิต (ประเทศผลิตของได้เยอะแค่ไหน) พวกนี้เป็นสัญญาณบอกว่าเศรษฐกิจประเทศนั้นๆ กำลังเป็นยังไง ดีขึ้นหรือแย่ลง ซึ่งแน่นอนว่ามันสะท้อนมาถึงความแข็งแกร่งของบริษัทและตลาดหุ้นได้ครับ อย่างที่บอกว่าตลาดจีนกำลังจับตาตัวเลข PMI อย่างใกล้ชิดนี่แหละ
3. **กระแสเงินทุน (Fund Flow):** เรื่องนี้เหมือนกระแสน้ำที่ไหลไปมาระหว่างประเทศเลยครับ ถ้ากองทุนใหญ่ๆ ทั่วโลกเห็นว่าตลาดหุ้นประเทศไหน หรือภูมิภาคไหนน่าสนใจ มีแนวโน้มเติบโตดี หรือปัจจัยบวกเยอะๆ เค้าก็จะโยกเงินเข้าไปลงทุน ซึ่งเม็ดเงินจำนวนมหาศาลนี้แหละที่ทำให้ตลาดหุ้นนั้นๆ คึกคัก มีแรงซื้อ ดัชนีก็ปรับขึ้น แต่ถ้าเค้าเริ่มมองว่ามีความเสี่ยง หรือมีโอกาสที่ดีกว่าที่อื่น เค้าก็จะขายทำกำไรแล้วย้ายเงินออก ดัชนีก็อาจจะปรับลงได้ครับ กระแส Fund Flow นี่แหละเป็นปัจจัยตัวท็อปๆ ที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยเราผันผวนตามไปด้วย
4. **ปัจจัยการเมืองและเหตุการณ์โลก:** เรื่องนี้ก็คาดเดายากแต่มีผลมหาศาลครับ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในประเทศใหญ่ๆ ความไม่แน่นอนจากการเจรจาทางการค้า (จำช่วงสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน สมัย โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ไหมครับ ตลาดหุ้นป่วนไปหมด) หรือแม้แต่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ต่างๆ ปัจจัยเหล่านี้สร้างความไม่แน่นอนและส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลกได้ทันที
5. **ผลประกอบการบริษัทและประเด็นสถาบันการเงิน:** เรื่องนี้เป็นพื้นฐานสำคัญเลยครับ ถ้าบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ในตลาดมีผลประกอบการออกมาดี มีกำไร เติบโตได้ดี ราคาหุ้นก็จะถูกผลักดันขึ้นไป ดัชนีก็พลอยปรับขึ้นตามไปด้วย หรือถ้ามีข่าวเกี่ยวกับปัญหาในสถาบันการเงินใหญ่ๆ ก็อาจจะสร้างความตื่นตระหนกในตลาดและทำให้ **ดัชนีทั่วโลก** ปรับฐานลงได้เช่นกัน
**แล้วทำไม นักลงทุนไทย อย่างเราต้องมาสนใจ ดัชนีทั่วโลก ด้วยล่ะ?**
คำถามยอดฮิตเลยครับ หลายคนอาจคิดว่า “เราก็ลงทุนแต่หุ้นไทย ซื้อขายแต่หุ้นใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดูแค่ ดัชนี SET ก็พอแล้วมั้ง?”
แต่จริงๆ แล้ว ตลาดหุ้นไทยไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวบนโลกใบนี้ครับ เราเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลก การค้าขายของเราพึ่งพาประเทศคู่ค้าหลักๆ อย่างจีน สหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น อย่างมาก ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจของประเทศเหล่านั้นดีหรือไม่ดี มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น มันส่งผลกระทบต่อบริษัทไทย การส่งออก การท่องเที่ยว และสุดท้ายก็สะท้อนมาถึงผลประกอบการของบริษัทในตลาดหุ้นไทย และแน่นอนว่าส่งผลต่อ ดัชนี SET Index ของเราด้วยครับ
ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้า **ดัชนีทั่วโลก** โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรปกำลังคึกคัก เพราะเศรษฐกิจดี มีเงินทุนไหลเข้า บรรยากาศการลงทุนก็จะดูสดใสขึ้น กองทุนต่างชาติที่ลงทุนในเอเชียก็อาจจะมองเห็นโอกาสและแบ่งเงินบางส่วนมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเราด้วย ซึ่งเม็ดเงินตรงนี้แหละที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของ SET Index เราครับ
ดังนั้น การติดตาม **ดัชนีทั่วโลก** เหมือนเป็นการมองภาพใหญ่ มอง “ลม” ที่กำลังพัดมา เราจะได้พอคาดเดาได้ว่าลมนี้มันแรงแค่ไหน พัดมาจากทางไหน จะส่งผลดีหรือร้ายต่อตลาดหุ้นไทยเราอย่างไรบ้าง มันช่วยให้เราประเมินปัจจัยภายนอกที่อาจจะเข้ามากระทบพอร์ตของเราได้ครับ
ดัชนีสำคัญๆ ที่นักลงทุนไทยน่าจะทำความรู้จักไว้บ้าง นอกเหนือจาก ดัชนี SET Index ของเรา ก็มีตัวแทนจากภูมิภาคหลักๆ เช่น:
* **สหรัฐฯ:** ดัชนี S&P 500, ดัชนีแนสแด็ก, ดัชนีดาวโจนส์
* **ยุโรป:** ดัชนีแด็กซ์ (เยอรมนี), ดัชนี CAC 40 (ฝรั่งเศส), ดัชนี FTSE 100 (อังกฤษ)
* **เอเชีย:** ดัชนีนิกเกอิ (ญี่ปุ่น), ดัชนี KOSPI (เกาหลีใต้), ดัชนีฮั่งเส็ง (ฮ่องกง), ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต (จีน), ดัชนีเซนเซ็กซ์ (อินเดีย), ดัชนี STI (สิงคโปร์), ดัชนี VN-Index (เวียดนาม), ดัชนี TAIEX (ไต้หวัน), ดัชนี JCI (อินโดนีเซีย)
การรู้จัก **ดัชนีทั่วโลก** เหล่านี้ ไม่ได้หมายความว่าเราต้องไปลงทุนในทุกตลาดนะครับ แค่รู้จักไว้เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ก็มีประโยชน์แล้ว
**อยาก “เกาะกระแส” ดัชนีทั่วโลก บ้าง ทำได้ไหม?**

ข่าวดีคือ ตอนนี้ นักลงทุนไทย มีช่องทางในการลงทุนใน **ดัชนีทั่วโลก** ได้ง่ายกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยครับ ไม่ได้มีแค่ต้องไปเปิดพอร์ตหุ้นกับโบรกเกอร์ต่างประเทศเท่านั้น
1. **ลงทุนตรงผ่านแอปพลิเคชัน:** โบรกเกอร์ไทยหลายแห่งเริ่มมีแอปฯ หรือแพลตฟอร์มที่ให้เราสามารถเปิดบัญชีและส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นต่างประเทศได้โดยตรงแล้วครับ เลือกหุ้นรายตัว หรือ ETF (กองทุนรวมอีทีเอฟ) ที่อิงกับ **ดัชนีทั่วโลก** ได้เลย
2. **ลงทุนทางอ้อมผ่าน DR01:** อันนี้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่อยากลงทุนในหุ้นหรือ ETF ต่างประเทศ แต่ยังไม่สะดวกเปิดพอร์ตตรง DR01 คือ ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ที่ออกโดย บล.ไทย แล้วนำมาซื้อขายในตลาดหุ้นไทยด้วยเงินบาทนี่แหละครับ มี DR01 หลายตัวที่อิงกับ **ดัชนีทั่วโลก** หรือหุ้นดังๆ ระดับโลกให้เลือกซื้อขายเหมือนหุ้นไทยตัวหนึ่งเลย
3. **ลงทุนผ่าน กองทุนรวมดัชนี (Index Fund):** อันนี้ง่ายที่สุดแล้วครับ กองทุนรวมดัชนี เป็นกองทุนที่ลงทุนตาม ดัชนีอ้างอิง เช่น กองทุนที่อิงกับ ดัชนี S&P 500 ก็จะไปซื้อหุ้น 500 ตัวนั้นตามสัดส่วนในดัชนีเป๊ะๆ ข้อดีคือ ค่าธรรมเนียมมักจะต่ำกว่ากองทุนรวมแบบ Active Fund เพราะผู้จัดการกองทุนไม่ต้องมาคอยเลือกหุ้นเอง แค่ซื้อตามดัชนี ผลตอบแทนก็จะล้อไปตาม **ดัชนีทั่วโลก** ที่กองทุนนั้นอิงอยู่ เหมาะสำหรับคนที่อยากลงทุนตามภาพรวมของตลาดนั้นๆ โดยไม่ต้องเลือกหุ้นรายตัวครับ
**สรุปง่ายๆ**
**ดัชนีทั่วโลก** ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปสำหรับนักลงทุนไทย การติดตามความเคลื่อนไหวและปัจจัยที่ส่งผลต่อ **ดัชนีทั่วโลก** ช่วยให้เราเห็นภาพรวมของเศรษฐกิจและการลงทุนระดับโลก ซึ่งมีอิทธิพลโดยตรงต่อตลาดหุ้นไทยของเราครับ ยิ่งเรารู้จักโลกกว้างมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งมีความเข้าใจและมีข้อมูลที่ดีขึ้นในการตัดสินใจลงทุนของเราเอง
ไม่ว่าจะเป็นการใช้ข้อมูล **ดัชนีทั่วโลก** มาประกอบการตัดสินใจลงทุนในหุ้นไทย หรือจะใช้ช่องทางที่มีอยู่ตอนนี้อย่างการซื้อ DR01 หรือลงทุนในกองทุนรวมดัชนี เพื่อกระจายความเสี่ยง และหาโอกาสจากตลาดต่างประเทศ ก็ล้วนเป็นทางเลือกที่เราพิจารณาได้ครับ
⚠️ แต่จำไว้เสมอว่า การลงทุนในตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศที่มีปัจจัยซับซ้อนหลากหลายกว่าตลาดในประเทศ ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนใน **ดัชนีทั่วโลก** หรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ทำความเข้าใจความเสี่ยงของแต่ละผลิตภัณฑ์ และประเมินระดับความเสี่ยงที่ตัวเราเองยอมรับได้เสมอ ไม่แน่ใจปรึกษาผู้แนะนำการลงทุนที่น่าเชื่อถือได้ครับ ขอให้ทุกท่านลงทุนอย่างมีความสุขและมีสติครับ!