กองทุนรวมหุ้น SET50: ลงทุนง่าย ได้หุ้นเด่น เน้นทำกำไร!

**กองทุนรวมหุ้น SET50: ทางลัดสู่การลงทุนในบริษัทไทยชั้นนำ… แบบไม่ต้องปวดหัวเลือกหุ้นเอง!**

เพื่อนๆ ที่กำลังมองหาทางเลือกในการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เคยรู้สึกไหมว่า “หุ้นไทยมีตั้งเยอะแยะ จะเลือกตัวไหนดีนะ?” ไหนจะต้องมานั่งดูงบการเงิน ติดตามข่าวสารบ้านเมืองอีก โอ๊ยยย… แค่คิดก็เหนื่อยแล้วใช่ไหมล่ะครับ

แต่โชคดีที่โลกการลงทุนไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น ยังมีตัวช่วยดีๆ ที่จะทำให้เราได้ลงทุนในบริษัทไทยชั้นนำระดับประเทศแบบง่ายๆ แถมกระจายความเสี่ยงไปในตัว นั่นก็คือ **กองทุนรวมหุ้น set50** นั่นเองครับ วันนี้ผมในฐานะคอลัมนิสต์สายการเงินที่ชอบอะไรที่เข้าใจง่ายๆ จะขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับกองทุนรวมประเภทนี้กันให้มากขึ้น ว่ามันคืออะไร มีดีตรงไหน เหมาะกับใครบ้าง ตามมาดูกันเลย!

**SET50 Index คืออะไร? แล้ว กองทุนรวมหุ้น set50 ทำงานยังไง?**

ก่อนอื่นเราต้องมาทำความรู้จักกับพระเอกของเราก่อนครับ นั่นคือ “ดัชนี SET50” ดัชนีตัวนี้จัดทำโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (Stock Exchange of Thailand – SET) อธิบายง่ายๆ มันก็คือตัวแทนของ “หุ้นใหญ่” 50 ตัวแรกในตลาดหุ้นไทยที่มีมูลค่าตลาดสูงและมีการซื้อขายคึกคักที่สุดนั่นแหละครับ ลองนึกภาพว่า SET50 Index เหมือนเป็น “ท็อป 50” ของบริษัทจดทะเบียนในไทย ถ้าบริษัทไหนใหญ่ มีสภาพคล่องสูง ก็มีโอกาสติดอันดับใน SET50 ได้

แล้ว กองทุนรวมหุ้น set50 ล่ะ? มันก็คือกองทุนรวมประเภทหนึ่งที่มีนโยบายการลงทุนแบบพิเศษครับ เป้าหมายของเขาคือการลงทุนในหุ้น 50 ตัวที่อยู่ในดัชนี SET50 หรือลงทุนในหุ้นบางส่วนที่อยู่ในดัชนี โดยมีเป้าหมายเดียวที่ชัดเจนมากๆ คือ “ทำผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี SET50 ให้มากที่สุด”

คุณอาจจะสงสัยว่า “อ้าว แล้วทำไมไม่ทำให้ชนะดัชนีล่ะ?” นั่นเป็นเพราะ กองทุนรวมหุ้น set50 ส่วนใหญ่ใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า **การลงทุนแบบ Passive (Passive Investment Management Approach)** ครับ คือเขาจะไม่พยายามจับจังหวะซื้อขายเพื่อเอาชนะตลาด หรือเลือกหุ้นบางตัวที่คิดว่าจะดีกว่าตัวอื่น แต่เขาจะลงทุนตามน้ำหนักของหุ้นแต่ละตัวในดัชนี SET50 แบบตรงไปตรงมา เหมือนกับการ “เลียนแบบ” ผลการดำเนินงานของดัชนีให้ได้เป๊ะที่สุด ซึ่งนี่แหละครับคือที่มาของข้อดีหลายๆ อย่างของกองทุนประเภทนี้

**ข้อดีของการลงทุนใน กองทุนรวมหุ้น set50: ทำไมถึงน่าสนใจ?**

ทีนี้เรามาดูกันว่าทำไมหลายคนถึงหันมาสนใจ กองทุนรวมหุ้น set50 กันมากขึ้น:

1. **ง่ายและตรงไปตรงมา:** เหมาะมากๆ สำหรับนักลงทุนมือใหม่ หรือคนที่ไม่มีเวลามานั่งวิเคราะห์หุ้นรายตัว เพราะเราได้ลงทุนในหุ้น 50 ตัวชั้นนำไปพร้อมๆ กันในกองทุนเดียว ไม่ต้องเลือกเองให้วุ่นวาย
2. **ค่าธรรมเนียมต่ำกว่ากองทุนหุ้นทั่วไป:** นี่คือข้อดีเด่นมากๆ ของ Passive Fund ครับ เมื่อผู้จัดการกองทุนไม่ต้องใช้ความพยายามในการคัดเลือกหุ้น หรือจับจังหวะตลาด ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการก็จะต่ำลง ทำให้ค่าธรรมเนียมที่เราต้องจ่ายถูกกว่ากองทุนหุ้นแบบ Active (ที่ผู้จัดการกองทุนพยายามเอาชนะตลาด) ซึ่งค่าธรรมเนียมที่ต่ำลงนี้ ส่งผลดีต่อผลตอบแทนสุทธิของเราในระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญเลยครับ
3. **ลงทุนในหุ้นบิ๊กแคปที่คุ้นชื่อ:** หุ้นที่อยู่ใน SET50 ส่วนใหญ่เป็นบริษัทใหญ่ที่เราคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน เช่น หุ้นของสนามบิน (AOT – บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)), หุ้นบริษัทน้ำมันและพลังงาน (PTT – บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), PTTEP – บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)), หุ้นบริษัทโทรคมนาคม (ADVANC – บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)), หุ้นร้านสะดวกซื้อ (CPALL – บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)) หรือแม้แต่หุ้นโรงพยาบาลใหญ่ (BDMS – บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน)) การได้ลงทุนในบริษัทเหล่านี้ทำให้เรารู้สึก “จับต้องได้” มากกว่าครับ
4. **ช่วยกระจายความเสี่ยง:** แม้จะเป็นหุ้นใหญ่ 50 ตัว แต่หุ้นเหล่านี้ก็อยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม ทำให้พอร์ตการลงทุนของเราไม่ไปกระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งมากเกินไป เป็นการกระจายความเสี่ยงในระดับหนึ่ง

ลองนึกภาพว่าถ้าเราเลือกหุ้นเองแค่ 1-2 ตัว แล้วถ้าบริษัทนั้นมีปัญหา พอร์ตเราก็แย่ตามไปด้วย แต่การลงทุนผ่าน กองทุนรวมหุ้น set50 เหมือนเราได้ลงทุนในบริษัทที่ดีที่สุด 50 แห่งพร้อมกัน ถ้าบริษัทไหนมีปัญหา บริษัทอื่นก็อาจจะยังไปได้ดี ช่วยลดแรงกระแทกให้พอร์ตเราได้ครับ

**กองทุนรวมหุ้น SET50 มีกี่แบบ? เลือกแบบไหนดี?**

กองทุนรวมหุ้น set50 ในไทยมีหลายแบบให้เลือกตามความต้องการของเราครับ หลักๆ แบ่งได้ตามนี้:

* **แบบไม่จ่ายเงินปันผล (Accumulation Fund):** กองทุนประเภทนี้จะนำกำไรที่ได้จากการลงทุนไป “สะสม” กลับเข้าไปในกองทุน ทำให้มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV – มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ) เพิ่มขึ้น เหมาะกับคนที่ต้องการให้เงินทำงานต่อ ไม่ต้องการเงินปันผลระหว่างทาง และเน้นการเติบโตของเงินลงทุนในระยะยาว ตัวอย่างเช่น KT-SET50-A (บลจ.กรุงไทย), T-SET50ACC (บลจ.ธนชาต), K-SET50 (บลจ.กสิกรไทย), SCBSET50 (บลจ.ไทยพาณิชย์) เป็นต้น
* **แบบจ่ายเงินปันผล (Dividend Fund):** กองทุนประเภทนี้จะมีการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนตามนโยบายของกองทุน เหมาะกับคนที่ต้องการกระแสเงินสด หรือต้องการผลตอบแทนกลับมาเป็นเงินสดระหว่างการลงทุน ตัวอย่างเช่น T-SET50 (บลจ.ธนชาต), KT-SET50-D (บลจ.กรุงไทย), TMB50DV (บลจ.ทหารไทย/ทีเอ็มบีอีสท์สปริง), M-S50 (บลจ.เอ็มเอฟซี) เป็นต้น
* **แบบลดหย่อนภาษี (SSF / RMF):** กองทุนรวมหุ้น set50 ยังมีแบบที่พ่วงคุณสมบัติลดหย่อนภาษีมาให้ด้วยครับ คือกองทุน SSF (Super Savings Fund) และ RMF (Retirement Mutual Fund) เหมาะกับคนที่ต้องการวางแผนการลงทุนระยะยาวควบคู่ไปกับการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร ตัวอย่างเช่น PRINCIPAL SET50SSF-SSF (บลจ.พรินซิเพิล), SCBSET50(SSF) (บลจ.ไทยพาณิชย์) สำหรับ SSF และ SCBRMS50 (บลจ.ไทยพาณิชย์), T-SET50RMF (บลจ.ธนชาต), KS50RMF (บลจ.กสิกรไทย) สำหรับ RMF เป็นต้น

เห็นไหมครับว่ามีให้เลือกหลากหลายค่าย บลจ. (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน) ชั้นนำต่างๆ ก็มีกองทุนรวมหุ้น set50 ให้บริการ เช่น บลจ.กสิกรไทย, บลจ.ไทยพาณิชย์, บลจ.กรุงไทย, บลจ.ธนชาต, บลจ.พรินซิเพิล, บลจ.ทหารไทย/ทีเอ็มบีอีสท์สปริง และอื่นๆ อีกมากมาย

**เลือก กองทุนรวมหุ้น SET50 ยังไงดี?**

เมื่อรู้แล้วว่ามีแบบไหนบ้าง ทีนี้มาถึงขั้นตอนการเลือกแล้วครับ ปัจจัยสำคัญในการพิจารณามีดังนี้:

1. **ค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียม:** นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับ Passive Fund อย่าง กองทุนรวมหุ้น set50 เลยครับ เพราะเป้าหมายคือการทำผลตอบแทนให้ใกล้เคียงดัชนี การที่กองทุนมีค่าธรรมเนียมต่างๆ (เช่น ค่าธรรมเนียมการจัดการรายปี, ค่าธรรมเนียมซื้อขาย) ต่ำ จะช่วยให้ผลตอบแทนสุทธิที่เราได้รับนั้นใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนีจริงๆ ควรเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมระหว่างกองทุนที่มีนโยบายคล้ายกันครับ
2. **ผลการดำเนินงานในอดีต (เทียบกับดัชนี):** เราสามารถดูผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนต่างๆ ที่อ้างอิง SET50 เพื่อเปรียบเทียบได้ครับ สิ่งที่ควรดูนอกจากการเปรียบเทียบผลตอบแทนระหว่างกองทุนด้วยกันเองแล้ว คือการเปรียบเทียบกับ “ตัวชี้วัด (Benchmark)” ซึ่งก็คือดัชนี SET50 นั่นแหละครับ กองทุนรวมหุ้น set50 ที่ดี ควรมีผลการดำเนินงานที่ใกล้เคียงหรือสามารถ “เลียนแบบ” ดัชนีได้ดี ซึ่งเราอาจจะดูจากค่า Tracking Difference หรือ Tracking Error ได้ แต่สำหรับนักลงทุนทั่วไป ดูผลตอบแทนที่ต่างจากดัชนีไม่มากนักก็น่าจะเพียงพอครับ **แต่จำไว้เสมอว่า ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคตนะครับ!** ใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเท่านั้น
3. **นโยบายการจ่ายปันผล:** ชอบแบบไหนก็เลือกแบบนั้นครับ ต้องการเงินสดระหว่างทางก็เลือกแบบจ่ายปันผล ไม่ต้องการและอยากให้เงินลงทุนเติบโตไปเรื่อยๆ ก็เลือกแบบสะสมมูลค่า
4. **คุณสมบัติลดหย่อนภาษี:** ถ้าต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ก็ต้องเลือก กองทุนรวมหุ้น set50 ที่เป็นประเภท SSF หรือ RMF ครับ

**ลงทุนใน กองทุนรวมหุ้น SET50 ต้องระวังอะไรบ้าง?**

แม้จะเป็นการลงทุนที่ค่อนข้างเรียบง่ายและกระจายความเสี่ยงในหุ้นใหญ่แล้ว แต่การลงทุนใน กองทุนรวมหุ้น set50 ก็ยังคงมีความเสี่ยงอยู่ครับ เพราะมันคือ “กองทุนหุ้น”

* **ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหุ้น:** ผลตอบแทนของกองทุนจะขึ้นลงตามราคาหุ้นในดัชนี SET50 ครับ ถ้าหุ้นใหญ่ขึ้น กองทุนเราก็มีแนวโน้มจะขึ้นตาม แต่ถ้าหุ้นใหญ่ลง กองทุนเราก็มีแนวโน้มจะลงตามเช่นกัน เราต้องยอมรับความผันผวนตรงนี้ให้ได้
* **ความเสี่ยงอื่นๆ:** เช่น ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (แม้หุ้นใหญ่จะสภาพคล่องสูง แต่ก็มีปัจจัยอื่นได้), ความเสี่ยงด้านการจัดการ (แม้จะ Passive แต่ผู้จัดการกองทุนก็ยังมีบทบาทในการทำให้กองทุนเลียนแบบดัชนีได้ดีที่สุด)

ดังนั้น กองทุนรวมหุ้น set50 จึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่ง และสามารถลงทุนได้ในระยะยาว เพื่อให้มีเวลาผ่านพ้นช่วงที่ตลาดผันผวนได้ครับ

**สรุปแล้ว… กองทุนรวมหุ้น SET50 เหมาะกับใคร?**

* นักลงทุนมือใหม่ที่อยากเริ่มต้นลงทุนในหุ้นไทย แต่ยังไม่รู้จะเลือกหุ้นตัวไหนดี
* นักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงในหุ้นไทยขนาดใหญ่
* นักลงทุนที่ชอบการลงทุนแบบเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน และมีค่าธรรมเนียมต่ำ
* นักลงทุนที่สามารถลงทุนระยะยาวได้ และยอมรับความผันผวนของตลาดหุ้นได้
* ผู้ที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีผ่านการลงทุนในหุ้นไทย (โดยเลือกแบบ SSF หรือ RMF)

ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกว่า กองทุนรวมหุ้น set50 น่าจะเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ ก็ลองไปศึกษาข้อมูลของแต่ละกองทุนจาก บลจ. ต่างๆ เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมและข้อมูลอื่นๆ ที่สนใจ แล้วค่อยตัดสินใจลงทุนดูนะครับ

**⚠️ คำเตือนที่สำคัญมากๆ:**

* **การลงทุนในกองทุนรวมมิใช่การฝากเงินและมีความเสี่ยง**
* **ผู้ลงทุนอาจได้รับเงินลงทุนคืนน้อยกว่าเงินลงทุนเริ่มแรก**
* **ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต**
* **ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน**

ขอให้ทุกท่านโชคดีกับการลงทุน และใช้ กองทุนรวมหุ้น set50 เป็นเครื่องมือช่วยให้เป้าหมายทางการเงินของคุณเป็นจริงนะครับ!

Leave a Reply