เจาะลึกดัชนี S&P 500: ลงทุนอย่างไรให้ได้ผลตอบแทน?

เวลาพูดถึงตลาดหุ้นอเมริกา ตลาดที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดและมีอิทธิพลต่อการลงทุนทั่วโลก ชื่อหนึ่งที่เรามักได้ยินบ่อยๆ จนแทบจะเป็นสัญลักษณ์ไปแล้ว ก็คือ ดัชนี S&P 500 เคยได้ยินชื่อนี้ไหมครับ? บางทีอาจจะผ่านหูในข่าว หรือเห็นกราฟเขียวๆ แดงๆ บนเว็บไซต์การเงินต่างๆ แต่จริงๆ แล้วเจ้าดัชนีตัวนี้มันคืออะไรกันแน่ ทำไมใครๆ ถึงต้องจับตาดู แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเราคนไทยที่นั่งอยู่ตรงนี้? วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ เหมือนคุยกับเพื่อนครับ

ลองนึกภาพว่าถ้าตลาดหุ้นอเมริกาคือโรงเรียนยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ดัชนี S&P 500 ก็เปรียบเสมือน “สมุดพก” หรือ “ใบสรุปผลการเรียน” ของบริษัทที่เก่งที่สุด 500 อันดับแรกในโรงเรียนนี้แหละครับ ไม่ใช่แค่ 500 บริษัทแรกตามตัวอักษรนะ แต่เป็น 500 บริษัทชั้นนำจริงๆ ที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจอเมริกามากๆ การที่ดัชนีตัวนี้ขึ้นหรือลง ส่วนใหญ่แล้วสะท้อนให้เห็นว่าภาพรวมของบริษัทใหญ่ๆ ในอเมริกากำลังไปได้สวยหรือเปล่า ว่ากันว่าเป็นตัวแทนเกือบ 80% ของมูลค่าตลาดหุ้นอเมริกาทั้งหมดเลยทีเดียว ถือเป็นมาตรวัดสุขภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่นักวิเคราะห์และผู้กำหนดนโยบายทั่วโลกใช้ดูทิศทาง

แล้วทำไมต้องเป็น 500 บริษัทนี้? เขาเลือกกันมั่วๆ เหรอ? เปล่าเลยครับ การที่จะเข้าไปอยู่ใน ดัชนี S&P 500 ได้นั้นมีเกณฑ์เข้มงวดมากๆ นะครับ ไม่ใช่ว่าใครอยากเข้าก็เข้าได้ ข้อแรกเลยคือต้องเป็นบริษัทที่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา มีมูลค่าตลาดใหญ่มากๆ (ข้อมูล ณ ปี 2024 คือต้องไม่ต่ำกว่า 14,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ!) ต้องมีสภาพคล่องสูง คือมีคนซื้อขายหุ้นกันเยอะๆ หุ้นส่วนใหญ่ต้องเปิดให้คนทั่วไปซื้อขายได้ (Public Float อย่างน้อย 50%) และที่สำคัญสุดๆ คือต้องมีผลกำไรเป็นบวกต่อเนื่องมาอย่างน้อย 4 ไตรมาสที่ผ่านมา แถมยังต้องจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์หลักๆ ของอเมริกา เช่น ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) หรือ แนสแด็ก (NASDAQ) ด้วยครับ และที่พิเศษคือ เขาพยายามคัดเลือกให้ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม เพื่อให้ดัชนีเป็นตัวแทนของเศรษฐกิจโดยรวมจริงๆ

วิธีการคำนวณ ดัชนี S&P 500 ก็ไม่ได้เอาแค่ราคาหุ้นแต่ละตัวมาบวกกันแล้วหารเฉลี่ยแบบง่ายๆ เหมือนดัชนีรุ่นเก่าอย่างดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average – DJIA) แต่เขาใช้วิธีที่เรียกว่า “ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด” (Market Capitalization Weighted) หมายความว่า บริษัทไหนที่มีมูลค่าตลาดใหญ่มากๆ หุ้นของบริษัทนั้นก็จะส่งผลต่อการขึ้นลงของดัชนีมากกว่าบริษัทเล็กๆ ในดัชนีเดียวกัน ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ ถ้าหุ้นของ Apple หรือ Microsoft ที่เป็นบริษัทใหญ่ยักษ์ ปรับตัวขึ้นแรงๆ ดัชนี S&P 500 ก็มีแนวโน้มจะปรับขึ้นตามไปด้วยอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ถ้าหุ้นของบริษัทเล็กๆ ในดัชนีขึ้น ราคาหุ้นอาจจะต้องพุ่งแรงมากๆ ถึงจะเห็นผลกับดัชนีโดยรวมได้ชัดเจน ซึ่งวิธีนี้ถูกมองว่าสะท้อนภาพรวมของตลาดได้ดีกว่า เพราะบริษัทใหญ่ๆ ย่อมมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโดยรวมมากกว่าอยู่แล้ว

ถ้าลองไปดูไส้ในของ ดัชนี S&P 500 เราจะเห็นการกระจายตัวของบริษัทตามภาคส่วนต่างๆ (ข้อมูล ณ ปลายปี 2024) ที่น่าสนใจมากๆ ครับ สัดส่วนที่ใหญ่ที่สุด หนีไม่พ้นภาคเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) กินไปคนเดียวถึงกว่า 33% เลยทีเดียว นี่สะท้อนให้เห็นชัดเจนเลยว่ายุคนี้เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญกับเศรษฐกิจอเมริกาขนาดไหน รองลงมาก็จะเป็นภาคการเงิน (Financials) การดูแลสุขภาพ (Health Care) สินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary) และบริการสื่อสาร (Communication Services) การที่ดัชนีกระจายตัวไปในหลายๆ อุตสาหกรรมแบบนี้ ทำให้มันเป็นภาพรวมของเศรษฐกิจอเมริกาที่ค่อนข้างรอบด้านเลยทีเดียวครับ

พูดถึงผลการดำเนินงาน ดัชนี S&P 500 ถือเป็นดัชนีที่มีประวัติผลตอบแทนระยะยาวที่น่าสนใจมากๆ ครับ ตั้งแต่ก่อตั้งมาในปี 1957 ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี (รวมเงินปันผลแล้ว) อยู่ที่ประมาณ 10.16% ต่อปี ซึ่งถือว่าสูงทีเดียวเมื่อเทียบกับการลงทุนประเภทอื่นๆ และถ้ามองย้อนไป 10 ปีล่าสุด ผลตอบแทนเฉลี่ยก็ยังคงตัวเลขประมาณ 11.09% ต่อปี ส่วนผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี 2024 (ข้อมูล ณ สิ้นปี) ต้องบอกว่าร้อนแรงสุดๆ ครับ อยู่ที่ประมาณ 28.35% เลยทีเดียว (แบ่งเป็นส่วนราคาที่ปรับขึ้นประมาณ 26.63% และเงินปันผลอีก 1.72%) แต่ก็ต้องไม่ลืมนะครับว่า “ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต” ตลาดหุ้นมีความผันผวนอยู่เสมอ

คุณอาจจะถามว่า แล้ว ดัชนี S&P 500 มันต่างกับดัชนีอื่นๆ ของอเมริกาอย่างไรล่ะ? นอกจากดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) ที่มีแค่ 30 ตัว และคำนวณแบบถ่วงน้ำหนักตามราคา ยังมีดัชนีแนสแด็ก (NASDAQ) ซึ่งเน้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรมมากๆ ครับ แนสแด็กคอมโพสิตมีหุ้นเยอะกว่า S&P 500 เป็นพันๆ ตัวเลย (กว่า 3,000 ตัว) ส่วนแนสแด็ก-100 (NASDAQ-100) ก็คือ 100 บริษัทใหญ่ในแนสแด็กที่ไม่ใช่กลุ่มการเงินครับ โดยรวมแล้ว ดัชนีแนสแด็กมักจะมีความผันผวนสูงกว่า S&P 500 เพราะพึ่งพากลุ่มเทคโนโลยีค่อนข้างมาก สรุปง่ายๆ คือ S&P 500 เป็นตัวแทนที่กว้างขวาง ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม ในขณะที่แนสแด็กเน้นเทคโนโลยี และดาวโจนส์คือดัชนีรุ่นเก๋าที่ดูบริษัทใหญ่ 30 ตัวเท่านั้นครับ

แล้วทำไมคนไทยอย่างเราๆ ต้องมาสนใจ ดัชนี S&P 500 ด้วยล่ะ? ก็เพราะอย่างที่บอกครับว่า ตลาดหุ้นอเมริกาเป็นตลาดทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ความเคลื่อนไหวของดัชนีหลักอย่าง ดัชนี S&P 500 ไม่ได้ส่งผลแค่ในอเมริกาเท่านั้น แต่มีผลกระทบต่อเนื่องมายังตลาดการเงินทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วยครับ ลองสังเกตดูสิครับ เวลาที่ตลาดหุ้นอเมริกาเปิดมาแล้วคึกคัก หรือเทขายกันแรงๆ มักจะส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในเอเชียรวมถึงบ้านเราไม่มากก็น้อย นักลงทุนไทยหลายคนจึงใช้ ดัชนี S&P 500 เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนของตัวเองด้วย

ทีนี้ ถ้าเราอยากจะ “ลงทุนใน ดัชนี S&P 500” ต้องทำยังไง? จริงๆ แล้วเราไม่สามารถไปซื้อ “ตัวดัชนี” ได้โดยตรงนะครับ มันเป็นแค่ตัวเลขที่ใช้วัดผล แต่เราสามารถลงทุนในสิ่งที่ “เลียนแบบ” การเคลื่อนไหวของดัชนีตัวนี้ได้ครับ วิธีที่นิยมและง่ายที่สุดสำหรับนักลงทุนรายย่อย คือการลงทุนผ่าน “กองทุนรวมดัชนี (Index Fund)” หรือ “กองทุน ETF (Exchange Traded Fund)” ที่มีนโยบายไปลงทุนในหุ้นทั้ง 500 ตัว (หรือบางส่วนที่เป็นตัวแทน) โดยมีเป้าหมายให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับ ดัชนี S&P 500 ครับ ข้อดีของกองทุนประเภทนี้คือ มีค่าธรรมเนียมต่ำกว่ากองทุนรวมทั่วไปที่ผู้จัดการกองทุนคอยคัดเลือกหุ้นเอง ที่น่าสนใจคือมีงานวิจัยจาก SPIVA (S&P Dow Jones Indices Versus Active Funds) ที่ศึกษาเปรียบเทียบผลตอบแทนระหว่างกองทุนหุ้นอเมริกาที่บริหารแบบเชิงรุก (Active Fund) กับ ดัชนี S&P 500 พบว่า ในระยะยาว กองทุน Active ส่วนใหญ่ (อย่างผลศึกษา ณ สิ้นปี 2022 พบว่ากว่า 87% ในช่วง 5 ปี และ 91% ในช่วง 10 ปี) กลับทำผลตอบแทนได้แย่กว่า ดัชนี S&P 500 เสียอีก นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้กองทุนดัชนี S&P 500 ได้รับความนิยมอย่างมากครับ นอกจากนี้ แพลตฟอร์มการลงทุนระดับโลกบางแห่ง เช่น Moneta Markets อาจมีเครื่องมือหรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ ดัชนี S&P 500 ให้พิจารณาเพื่อเพิ่มทางเลือกในการลงทุนครับ

อย่างไรก็ตาม การลงทุนใน ดัชนี S&P 500 หรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความเสี่ยงนะครับ ตรงกันข้าม การซื้อขายตราสารทางการเงินต่างๆ รวมถึงการลงทุนในตลาดหุ้น มีความเสี่ยงสูงมากๆ ครับ ราคาหุ้นและมูลค่าของเงินลงทุนสามารถผันผวนขึ้นลงได้ตลอดเวลา จากปัจจัยภายนอกมากมาย ทั้งสถานการณ์เศรษฐกิจ การเมือง กฎหมาย หรือแม้แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันต่างๆ ทั่วโลก ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนบางส่วนหรือทั้งหมดได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการใช้มาร์จิ้น (Margin) หรือการยืมเงินมาลงทุน ซึ่งจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงเข้าไปอีกหลายเท่าตัว

ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนใน ดัชนี S&P 500 หรือผลิตภัณฑ์ใดๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกองทุนดัชนี ฟิวเจอร์ส หรืออื่นๆ ผู้ลงทุนทุกคนควรทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับลักษณะของผลิตภัณฑ์นั้นๆ เป้าหมายการลงทุนของตัวเอง ระดับประสบการณ์ ความสามารถในการยอมรับความเสี่ยง และควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินก่อนเสมอครับ อย่าลงทุนตามกระแส หรือเพราะเห็นว่าผลตอบแทนในอดีตมันดี แต่ต้องเข้าใจความเสี่ยงที่แฝงอยู่ด้วย

สรุปแล้ว ดัชนี S&P 500 คือ “สมุดพก” สำคัญที่สะท้อนสุขภาพของบริษัทชั้นนำ 500 แห่งในอเมริกา เป็นดัชนีที่นักลงทุนทั่วโลกจับตาดูและใช้เป็นเกณฑ์วัดผล แม้เราจะไม่สามารถซื้อตัวดัชนีได้โดยตรง แต่ก็มีช่องทางให้เข้าถึงการลงทุนที่เชื่อมโยงกับดัชนีตัวนี้ได้ง่ายขึ้นผ่านกองทุนดัชนีต่างๆ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาก็พิสูจน์แล้วว่าสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้ อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าการลงทุนทุกรูปแบบมีความเสี่ยงเสมอ

⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

Leave a Reply