SET500 ร่วง! ตลาดหุ้นไทยบอกอะไรนักลงทุน?

ตลาดหุ้นไทย: วันที่ 18 มิถุนายน ตลาด SET แดงเล็กน้อย บอกอะไรนักลงทุน?

สวัสดีครับนักลงทุนและเพื่อนๆ ที่แวะเวียนเข้ามาอ่านคอลัมน์การเงินฉบับเข้าใจง่ายสไตล์กันเอง วันนี้ผมมีเรื่องราวจากตลาดหุ้นมาเล่าให้ฟังอีกเช่นเคยครับ

เพื่อนผมชื่อ ‘น้องปอ’ เพิ่งไลน์มาถามเมื่อเช้าครับว่า “พี่ครับ ดูหุ้นให้หน่อย ทำไมวันนี้ตลาด SET แดงอีกล่ะ?” ผมก็เลยลองเข้าไปดูตัวเลขล่าสุดจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) แล้วก็เจอข้อมูลที่น่าสนใจอยู่ครับ เลยอยากเอามาขยายความให้เพื่อนๆ ได้เห็นภาพรวมกัน

**ดูตัวเลขจาก SET แล้วเหมือนอุณหภูมิตลาดไม่ค่อยสดใส?**

ลองนึกภาพตามนะครับ ดัชนี SET (เอสอีที) เปรียบเสมือนมาตรวัดสุขภาพของตลาดหุ้นไทยทั้งหมดรวมกัน ยิ่งตัวเลขนี้สูง ตลาดก็ยิ่งดูคึกคัก ยิ่งต่ำ ก็เหมือนคนป่วยซึมๆ หน่อย วันที่ 18 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา ดัชนี SET ปิดตลาดที่ 1,296.59 จุด ครับ

ตัวเลขนี้เองที่ทำให้น้องปอสงสัย เพราะมันเปลี่ยนแปลงไป -9.97 จุด หรือคิดเป็น -0.76% เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า ดูแล้วก็ไม่ใช่การร่วงแบบ ‘ช็อกวงการ’ อะไรมากมายนะครับ แต่ก็ไม่ใช่การยืนบวกสวยๆ แน่นอน

ถ้าเรามองย้อนกลับไปดูการเคลื่อนไหวระหว่างวัน ยิ่งเห็นภาพชัดขึ้นครับ วันนั้น SET เปิดตลาดที่ 1,305.13 จุด ขึ้นไปสูงสุดช่วงสั้นๆ ที่ 1,305.20 จุด ก่อนจะค่อยๆ ย่อลงมาทำจุดต่ำสุดที่ 1,288.58 จุด แล้วดีดกลับขึ้นมาปิดที่ตัวเลข 1,296.59 จุด ตอน 03:04:47 น. (เวลาตลาดปิด) การที่มันลงไปทำจุดต่ำสุดค่อนข้างห่างจากจุดสูงสุด แสดงว่าระหว่างวันมีแรงเทขายออกมาพอสมควรเลยครับ

การที่ดัชนี SET ซึ่งเป็นภาพรวมของบริษัทจำนวนมากในตลาด รวมถึงบริษัทขนาดใหญ่ใน SET50 (เอสอีทีห้าสิบ) บริษัทขนาดกลางถึงใหญ่ใน SET100 (เอสอีทีร้อย) และบริษัทยังเติบโตใน mai (เอ็มเอไอ) มีการปรับตัวลงแบบนี้ ก็บอกเราว่า ‘บรรยากาศ’ การลงทุนโดยรวมช่วงนั้นอาจจะยังไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่ครับ บางคนอาจจะกำลังมองภาพกว้างๆ ว่าตลาดไทยทั้งตลาดที่ประกอบไปด้วยบริษัทหลายร้อยแห่ง หรืออาจจะมองไปถึงแนวโน้มของบริษัทในภาพรวมที่ครอบคลุม *set500* แห่งหรือมากกว่านั้นเป็นยังไงบ้าง ตัวเลขดัชนี SET นี่แหละครับคือคำตอบเบื้องต้นที่สำคัญ

**ปริมาณและมูลค่าการซื้อขาย บอกอะไรเพิ่มเติมนอกจากราคา?**

นอกจากตัวเลขจุดที่ขึ้นลงแล้ว สิ่งที่เราต้องดูกันต่อคือ ‘ปริมาณการซื้อขาย’ (Volume) และ ‘มูลค่าการซื้อขาย’ (Value) ครับ สองตัวนี้เหมือนบอกว่า วันนั้นตลาดคึกคักแค่ไหน มีคนพร้อมจะซื้อจะขายกันเยอะมั้ย และเงินที่หมุนเวียนในระบบมีเท่าไหร่

จากข้อมูลในวันที่ 18 มิถุนายน 2567 ปริมาณการซื้อขายอยู่ที่ 11,300,536 พันหุ้น (หรือประมาณ 1.13 หมื่นล้านหุ้น) ครับ ส่วนมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 40,684.03 ล้านบาท

ตัวเลขเหล่านี้ ถ้าเทียบกับช่วงที่ตลาดบูมๆ อาจจะดูไม่สูงมาก แต่ก็ไม่ใช่ตัวเลขที่น้อยจนน่าตกใจครับ มันอยู่ในระดับที่บอกว่ามีการซื้อขายเปลี่ยนมือกันพอสมควร การที่ตลาดปรับตัวลงประมาณ 0.76% โดยมีมูลค่าการซื้อขายระดับ 4 หมื่นล้านบาท ก็พอจะบอกได้ว่า แรงเทขายที่เกิดขึ้นมีน้ำหนักอยู่บ้าง ไม่ใช่แค่การลงเพราะไม่มีคนซื้อขายเลย

ลองนึกภาพดูนะครับ เหมือนตลาดนัดที่พ่อค้าแม่ค้าพยายามจะขายของให้ได้ราคาดีที่สุด แต่วันนี้ลูกค้าไม่ค่อยสู้ราคาเท่าไหร่ การที่มีปริมาณและมูลค่าการซื้อขายระดับนี้ในวันที่ตลาดลง ก็เหมือนบอกว่า มีคนจำนวนหนึ่งตัดสินใจ ‘ยอมลดราคา’ เพื่อให้ขายออก ซึ่งนี่ก็คือการสะท้อน ‘แรงกดดัน’ ในตลาดนั่นเองครับ และแรงกดดันนี้ก็ส่งผลกระทบกับหุ้นหลายตัวในตลาด ซึ่งรวมถึงหุ้นใหญ่กลางเล็กที่อยู่ในภาพรวมของตลาด SET ซึ่งอาจจะอยู่ในขอบเขตที่นักลงทุนบางส่วนมองถึงหุ้นกลุ่ม *set500* หรือมากกว่านั้นด้วยครับ

**มองไกลกว่าแค่ SET: ดัชนีกลุ่มอื่นๆ ที่น่าสนใจ**

ตลาดหุ้นไทยไม่ได้มีแค่ดัชนี SET อย่างเดียวครับ ยังมีดัชนีกลุ่มย่อยๆ อีกเพียบที่ให้ภาพละเอียดขึ้น อย่างที่ข้อมูลบอกมาก็มีทั้ง SET50, SET100, mai, SETCLMV, SETHD, SETESG, SETWB, FTSE SET, FTSE ASEAN, TRI รวมถึงดัชนีตามกลุ่มอุตสาหกรรม/หมวดธุรกิจต่างๆ อีกเป็นสิบๆ กลุ่ม

SET50 ก็คือการรวมตัวของหุ้น 50 ตัวที่ใหญ่ที่สุดและมีสภาพคล่องสูงที่สุดในตลาด ส่วน SET100 ก็คือ 100 ตัวแรก (SET50 + อีก 50 ตัวถัดไป) ดัชนีเหล่านี้สะท้อนภาพของบริษัท ‘หัวเรือใหญ่’ ในตลาด ส่วน mai ก็เป็นภาพของบริษัทขนาดเล็กที่เพิ่งเข้าตลาดมาได้ไม่นาน

การเคลื่อนไหวของดัชนีกลุ่มย่อยพวกนี้มีผลต่อดัชนี SET โดยรวมครับ ถ้าหุ้นใหญ่ใน SET50 พาเหรดกันลง ดัชนี SET ก็มีแนวโน้มจะลงตามไปด้วย หรือถ้าหุ้นกลุ่มพลังงาน (ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่อันดับต้นๆ) ปรับตัวลง ก็จะฉุดให้ SET ลงได้เช่นกัน

การที่ดัชนี SET ปรับตัวลงในวันที่ 18 มิถุนายน 2567 ก็แสดงว่า การปรับตัวลงนี้เกิดขึ้นในหลายๆ ส่วนของตลาด อาจจะทั้งหุ้นใหญ่ กลาง เล็ก หรือกระจายไปในหลายๆ กลุ่มอุตสาหกรรม ไม่ได้จำกัดอยู่แค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ซึ่งนี่ก็สะท้อนว่า บรรยากาศไม่ดีนี้ค่อนข้าง ‘ทั่วถึง’ ในภาพรวมของตลาดหุ้นไทย ที่ประกอบไปด้วยบริษัทกว่า 800 แห่ง หรืออาจจะเรียกว่าเป็นภาพรวมของตลาดที่ครอบคลุมบริษัทในขอบเขตของ *set500* หรือมากกว่านั้นเลยก็ได้ครับ การดูดัชนีรายกลุ่มจะช่วยให้เราเห็นภาพว่ากลุ่มไหนโดนหนัก กลุ่มไหนยังพอยืนได้

**แล้วทำไมตลาดถึงลงในวันนั้น?**

คำถามยอดฮิตที่เพื่อนๆ นักลงทุนมักจะถามกันก็คือ “อะไรคือสาเหตุ?” ใช่ไหมครับ น่าเสียดายที่ข้อมูลตัวเลขที่เราดูกันวันนี้มันเป็นแค่ ‘ผลลัพธ์’ คือเห็นว่ามันลง แต่ไม่ได้บอก ‘สาเหตุ’ โดยตรงครับ

โดยทั่วไปแล้ว การที่ตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลง มันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างผสมปนเปกันไปครับ หลักๆ ก็มาจาก:

1. **ปัจจัยต่างประเทศ:** ข่าวเศรษฐกิจโลกเป็นยังไง? ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ยมั้ย? สงครามการค้าเป็นยังไง? พวกนี้มีผลต่อบรรยากาศการลงทุนทั่วโลก และตลาดหุ้นไทยก็เป็นส่วนหนึ่งของตลาดโลกครับ
2. **ปัจจัยในประเทศ:** นโยบายรัฐบาลเป็นยังไง? ตัวเลขเศรษฐกิจไทย (GDP) โตดีมั้ย? อัตราเงินเฟ้อเป็นยังไง? สถานการณ์การเมืองมีเสถียรภาพแค่ไหน? เรื่องพวกนี้กระทบโดยตรงกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ครับ
3. **อารมณ์นักลงทุน (Sentiment):** บางทีก็ไม่มีข่าวอะไรชัดเจนหรอกครับ แต่อยู่ๆ นักลงทุนก็รู้สึกกลัว (Fear) หรือโลภ (Greed) ขึ้นมาพร้อมๆ กันจำนวนมาก ก็ทำให้เกิดแรงซื้อแรงขายผิดปกติได้ เหมือนอากาศที่อยู่ๆ ก็ร้อนจัดหรือหนาวจัดโดยไม่มีทีท่ามาก่อน

การที่ดัชนี SET ปรับตัวลงในวันที่ 18 มิถุนายน 2567 น่าจะเป็นผลมาจากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง หรือหลายปัจจัยผสมกันที่ทำให้นักลงทุนรู้สึก ‘ไม่มั่นใจ’ หรือ ‘อยากจะขาย’ ออกมาในช่วงนั้นครับ และเมื่อความไม่มั่นใจนี้กระจายไปในวงกว้าง มันก็ส่งผลกระทบกับหุ้นหลายๆ ตัว ตั้งแต่บริษัทขนาดใหญ่ใน SET50 ไปจนถึงบริษัทขนาดกลางและเล็กที่อาจจะอยู่ในขอบเขตที่บางคนมองว่าเป็นกลุ่ม *set500* หรือมากกว่านั้นครับ

**แล้วนักลงทุนอย่างเราควรทำยังไงดี?**

จากข้อมูลที่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายงานมาในวันนั้น (18 มิ.ย. 67) ที่ดัชนี SET ปิดแดงเล็กน้อย ปริมาณการซื้อขายอยู่ในระดับปานกลาง และมีการแกว่งตัวระหว่างวันพอสมควร สิ่งที่เราเรียนรู้ได้คือ ตลาดหุ้นก็มีวันที่ไม่สดใสเป็นเรื่องปกติครับ

สำหรับนักลงทุนแล้ว นี่คือข้อคิดง่ายๆ ที่อยากฝากไว้ครับ:

1. **อย่าตกใจกับตัวเลขแค่วันเดียว:** ตลาดหุ้นมีขึ้นมีลงเป็นเรื่องธรรมชาติ การดูตัวเลขแค่วันเดียวอาจทำให้เราเห็นภาพไม่ครบ ลองมองภาพใหญ่ในระยะยาวขึ้นหน่อยนะครับ
2. **เข้าใจว่า SET คือภาพรวม:** ดัชนี SET สะท้อนภาพรวมของตลาดทั้งหมด ไม่ใช่แค่หุ้นตัวใดตัวหนึ่ง การที่ SET ลง ไม่ได้แปลว่าหุ้นทุกตัวจะลงตามเสมอไป และก็ไม่ได้แปลว่าหุ้นทุกตัวที่อยู่ในภาพรวมที่อาจจะครอบคลุม *set500* บริษัทจะได้รับผลกระทบเท่ากันหมด
3. **ศึกษาข้อมูลเชิงลึก:** ถ้าเราสนใจหุ้นตัวไหน ควรดูผลประกอบการ แผนธุรกิจ และปัจจัยเฉพาะของบริษัทนั้นๆ ด้วย อย่าดูแค่ดัชนี SET อย่างเดียว
4. **บริหารความเสี่ยง:** การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยง ราคาอาจจะขึ้นหรือลงก็ได้ ควรลงทุนด้วยเงินเย็นที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในเร็วๆ นี้ และพิจารณา ‘กระจายความเสี่ยง’ ไปในสินทรัพย์หลายๆ ประเภท ไม่ใช่ทุ่มเงินทั้งหมดไว้ในหุ้นไทยอย่างเดียว

⚠️ **ข้อควรระวัง:** ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน และควรลงทุนในวงเงินที่ยอมรับความสูญเสียได้

สำหรับใครที่สนใจศึกษาการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ นอกเหนือจากหุ้นไทยด้วย แพลตฟอร์มเทรดระหว่างประเทศบางแห่ง เช่น Moneta Markets ก็มีเครื่องมือและข้อมูลหลากหลายให้ศึกษา แต่ละแพลตฟอร์มก็มีเงื่อนไขต่างกันไป ต้องศึกษาเปรียบเทียบด้วยตัวเองนะครับ เพื่อให้แน่ใจว่าเหมาะกับสไตล์การลงทุนของเราจริงๆ

สุดท้ายนี้ อยากจะบอกว่า การลงทุนก็เหมือนการเดินทางครับ มีทั้งวันฟ้าใสและวันเจอพายุ สิ่งสำคัญคือเราต้องเตรียมตัวให้พร้อม ศึกษาเส้นทาง และมีสติอยู่เสมอ ขอให้เพื่อนๆ นักลงทุนทุกท่านโชคดีกับการลงทุนครับ!

Leave a Reply