
เคยไหมครับ? เวลาดูข่าวเศรษฐกิจ หรืออ่านบทวิเคราะห์หุ้น แล้วได้ยินคำว่า “SET50” บ่อยๆ จนอดสงสัยไม่ได้ว่า เอ๊ะ! ไอ้เจ้า set50 มี หุ้น อะไร บ้าง กันนะ ทำไมถึงสำคัญจัง?
ในฐานะคอลัมนิสต์การเงินที่คลุกคลีกับเรื่องพวกนี้มานาน ผมเข้าใจดีครับว่าสำหรับมือใหม่ หรือแม้แต่คนที่ลงทุนมาสักพักแล้ว ก็อาจจะยังงงๆ กับศัพท์แสงต่างๆ อยู่บ้าง วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ SET50 กันแบบเพื่อนคุยกัน ให้เห็นภาพชัดๆ ว่าดัชนีตัวนี้มันคืออะไร มีหน้าตาเป็นแบบไหน แล้วทำไมมันถึงมีความหมายกับการลงทุนของเรา
**SET50 คืออะไร? แก๊งค์หุ้นใหญ่ตัวท็อปของไทย**
ลองนึกภาพตามนะครับว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ก็เหมือนห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ที่มีบริษัทจดทะเบียนอยู่มากมายหลายร้อยแห่ง ตั้งแต่ร้านเล็กๆ ไปจนถึงห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ยักษ์ ทีนี้ ถ้าเราอยากรู้ภาพรวมของ “แก๊งค์หุ้นใหญ่” ในห้างนี้ ว่าตอนนี้เค้าเป็นยังไงบ้าง ราคาขึ้นหรือลง เราจะไปดูทีละตัวก็คงไม่ไหวใช่ไหมครับ
SET50 ก็เหมือนดัชนีที่ทำหน้าที่เป็น “ตัวแทน” หรือ “ภาพสะท้อน” ของบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีสภาพคล่องในการซื้อขายสูงที่สุด 50 อันดับแรกในตลาดหุ้นไทยนั่นเองครับ สรุปง่ายๆ ก็คือ ถ้าพูดถึง SET50 ก็คือนึกถึง หุ้นตัวท็อป 50 ตัวแรกของตลาดบ้านเรา นั่นแหละ

คำถามที่หลายคนอยากรู้คือ แล้วไอ้ set50 มี หุ้น อะไร บ้าง ในตอนนี้? คือรายชื่อมันมีการเปลี่ยนแปลงได้นะครับ ไม่ได้คงที่ตลอดเวลา ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ เค้าจะมีการทบทวนรายชื่อหุ้นในดัชนี SET50 ทุกครึ่งปี คือช่วงปลายเดือนมิถุนายน กับปลายเดือนธันวาคม เพื่อให้รายชื่อหุ้นในดัชนีเป็นปัจจุบันและสะท้อนภาพตลาดได้ดีที่สุด
หลักเกณฑ์ในการคัดเลือกหุ้นเข้า SET50 ก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากครับ เค้าจะดูหลักๆ อยู่ 3 อย่างคือ
1. **มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization):** ง่ายๆ คือ บริษัทนั้นต้อง “ใหญ่” พอตัว มีมูลค่ารวมของหุ้นทั้งบริษัทเยอะๆ
2. **สภาพคล่องในการซื้อขาย:** ต้องมีคนซื้อขายหุ้นตัวนี้เยอะๆ ในแต่ละวัน เพื่อให้การซื้อขายเป็นไปอย่างราบรื่น
3. **สัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยตามเกณฑ์ (Free Float):** ต้องมีสัดส่วนของหุ้นที่หมุนเวียนซื้อขายในตลาดจริงๆ เยอะพอสมควร ไม่ใช่ว่าหุ้นส่วนใหญ่อยู่กับเจ้าของแค่ไม่กี่คน
ตัวอย่างหุ้นที่มักจะอยู่ในรายชื่อ SET50 และหลายคนน่าจะคุ้นชื่อกันดี ก็เช่น ADVANC (หุ้นค่ายมือถือใหญ่), AOT (บริษัทท่าอากาศยาน), BBL (ธนาคารกรุงเทพ), BDMS (โรงพยาบาลใหญ่), CPALL (เจ้าของร้านสะดวกซื้อ) หรือ PTT (บริษัทพลังงานแห่งชาติ) เป็นต้นครับ พวกนี้คือพี่ใหญ่ในตลาดที่เราเห็นหน้าเห็นตาและได้ยินข่าวบ่อยๆ
**ทำไม SET50 ถึงสำคัญกับนักลงทุน?**
SET50 ไม่ได้เป็นแค่ชื่อดัชนีเท่ๆ นะครับ แต่มันมีบทบาทสำคัญหลายอย่างเลย:
* **เป็นดัชนีอ้างอิงหลัก:** นักลงทุน นักวิเคราะห์ กองทุนต่างๆ มักจะใช้ SET50 เป็นตัวเทียบ (Benchmark) เพื่อดูว่าภาพรวมของหุ้นใหญ่เป็นอย่างไร หรือผลตอบแทนของกองทุนที่ตัวเองบริหารอยู่ดีกว่าหรือแย่กว่าดัชนี SET50 ไหม
* **เป็นสินค้าสำหรับตลาดอนุพันธ์ (TFEX):** อันนี้สำคัญมากครับ SET50 เป็นดัชนีอ้างอิงของสินค้าอนุพันธ์ที่ได้รับความนิยมสูงในตลาด TFEX (ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแห่งประเทศไทย) เช่น SET50 Index Futures หรือ SET50 Index Options สินค้าพวกนี้ทำให้นักลงทุนสามารถเก็งกำไรทิศทางของดัชนี SET50 ได้ โดยไม่จำเป็นต้องซื้อหุ้นจริงทั้ง 50 ตัว แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าตลาดอนุพันธ์มีความซับซ้อนและความเสี่ยงสูงกว่าตลาดหุ้นปกติมากนะครับ ใครสนใจต้องศึกษาให้ดีมากๆ
* **เป็นแกนหลักของกองทุนรวม:** มีกองทุนรวมประเภทหนึ่งที่เรียกว่า “กองทุน SET50 Index” กองทุนพวกนี้มีนโยบายลงทุนให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี SET50 มากที่สุด พูดง่ายๆ คือ กองทุนจะไปซื้อหุ้นทั้ง 50 ตัวที่อยู่ใน SET50 โดยถ่วงน้ำหนักตามสัดส่วนในดัชนี ใครที่อยากลงทุนในหุ้นใหญ่ทั้ง 50 ตัว แต่ไม่อยากไปเลือกซื้อเองทีละตัว หรือมีเงินทุนไม่เยอะพอที่จะซื้อครบทุกตัว การลงทุนผ่านกองทุน SET50 Index ก็เป็นทางเลือกที่สะดวกมากๆ ครับ เราจะมาลงรายละเอียดเรื่องกองทุนนี้กันอีกที
**มองภาพรวมตลาดผ่านตัวเลข SET50 (อิงข้อมูลจากแหล่งข้อมูล)**
จากข้อมูลที่เรามี ลองมาดูภาพรวมตลาดล่าสุดที่สะท้อนผ่านตัวเลขกันบ้าง (อิงข้อมูล ณ วันที่ 3 เม.ย. 2568 จากแหล่งข้อมูลที่เราได้รับมา)
* วันนั้น ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขาย
* ราคาเปิดอยู่ที่ 741.54 จุด
* ระหว่างวันขึ้นไปสูงสุดที่ 744.70 จุด
* ลงไปต่ำสุดที่ 737.49 จุด
* มีปริมาณการซื้อขายรวม 1,723,808 พันหุ้น
* และมีมูลค่าการซื้อขายรวม 27,297.72 ล้านบาท
ตัวเลขพวกนี้บอกเราว่า แม้จะเป็นวันปิดทำการ ข้อมูลล่าสุดก็แสดงให้เห็นว่ามีการเคลื่อนไหวและปริมาณการซื้อขายหุ้นในตลาดอยู่ตลอด ซึ่งดัชนี SET50 ก็เป็นส่วนสำคัญที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของมูลค่าการซื้อขายจำนวนมหาศาลนี้
นอกจากข้อมูลล่าสุดแล้ว การดูข้อมูลย้อนหลังของตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะดัชนี SET50 ก็ช่วยให้นักลงทุนเห็นแนวโน้มและภาวะตลาดในอดีตได้ ตัวอย่างเช่น ข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา ก็ทำให้เราเห็นภาพรวมว่าในแต่ละช่วงเวลา ตลาดหุ้นไทยและกลุ่มหุ้นใหญ่ 50 ตัวแรกมีการปรับตัวอย่างไรบ้าง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มักจะมีการรวบรวมและสรุปภาวะตลาดทั้งในส่วนของ หุ้น อนุพันธ์ กองทุนรวม รวมถึงบทวิเคราะห์และข่าวสารต่างๆ เพื่อให้นักลงทุนใช้ประกอบการตัดสินใจ
**หุ้น SET50 ตัวไหนน่าจับตา? (มองจากมุมนักวิเคราะห์)**
นักลงทุนหลายคนพอรู้แล้วว่า set50 มี หุ้น อะไร บ้าง ก็อยากจะรู้ต่อว่า แล้วในบรรดา 50 ตัวนี้ ตัวไหนที่นักวิเคราะห์เค้ามองว่ามีโอกาสเติบโต หรือที่เรียกกันว่ามี “Upside” สูงๆ บ้าง?

จากข้อมูลรายงานล่าสุดที่เผยแพร่ (อิงข้อมูล ณ วันที่ 19 ธ.ค. 2566 เทียบกับ IAA Consensus ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยการประเมินของนักวิเคราะห์) มีการจัดอันดับหุ้น SET50 ที่นักวิเคราะห์มองว่ามีศักยภาพในการเติบโต หรือมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยสูงกว่าราคาตลาดในขณะนั้น ตัวอย่าง 10 อันดับแรกที่มี Upside สูงสุดในรายงานนั้นก็มีดังนี้ครับ
1. TRUE (บริษัท โทรคมนาคม) ถูกมองว่ามี Upside สูงถึง 60.99%
2. AWC (บริษัท พัฒนาอสังหาริมทรัพย์) Upside 58.43%
3. MINT (บริษัท โรงแรมและการท่องเที่ยว) Upside 48.59%
4. COM7 (บริษัท ค้าปลีกสินค้าไอที) Upside 45.15%
5. OSP (บริษัท เครื่องดื่ม) Upside 42.33%
6. RATCH (บริษัท พลังงาน) Upside 38.77%
7. BANPU (บริษัท พลังงานถ่านหินและไฟฟ้า) Upside 38.75%
8. BDMS (บริษัท โรงพยาบาล) Upside 36.47%
9. EA (บริษัท พลังงานและยานยนต์ไฟฟ้า) Upside 36.29%
10. HMPRO (บริษัท ค้าปลีกสินค้าตกแต่งบ้าน) Upside 35.81%
**สำคัญมากๆ**: ข้อมูล “Upside” พวกนี้เป็นเพียงการประเมินของนักวิเคราะห์ ณ ช่วงเวลาหนึ่งนะครับ และราคาเป้าหมายก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ การลงทุนโดยอิงข้อมูลนี้เพียงอย่างเดียวมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของบริษัทแต่ละตัวอย่างละเอียด และพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วยเสมอ
อีกมุมหนึ่งที่น่าสนใจคือ ในช่วงเวลาที่ตลาดโดยรวมอาจจะไม่ได้สดใส หุ้นตัวไหนใน SET50 ที่ยังสามารถปรับตัวขึ้นได้อย่างโดดเด่น? จากบทวิเคราะห์ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกปี 2566 (เทียบราคาหุ้น 30 ธ.ค. 2565 – 30 มิ.ย. 2566) แม้ว่าดัชนี SET โดยรวมจะปรับตัวลดลงไป 9.92% แต่ก็มีหุ้น SET50 บางตัวที่ราคาปรับขึ้นได้อย่างน่าสนใจ เช่น
* DELTA (บริษัท ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์) ราคาขึ้นไป 10.84%
* TTB (ธนาคารทหารไทยธนชาต) ราคาขึ้นไป 9.93%
* ADVANC (บริษัท โทรคมนาคม) ราคาขึ้นไป 9.743%
* ยังมีตัวอื่นๆ ที่ราคาปรับตัวขึ้นได้ดีในกลุ่ม SET50 เช่น KTB (ธนาคารกรุงไทย), BBL (ธนาคารกรุงเทพ), BH (โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์), MINT, OSP, MTC (บริษัท การเงิน), และ PTT
ข้อมูลนี้บอกเราว่า แม้ภาพรวมตลาดจะไม่ดี แต่ในกลุ่มหุ้นใหญ่ SET50 ก็ยังมี “ม้าเร็ว” หรือหุ้นที่มีปัจจัยสนับสนุนเฉพาะตัว ทำให้ราคาปรับตัวขึ้นได้ดี แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของบริษัทเหล่านี้ในภาวะตลาดที่ผันผวน
**วิธีง่ายๆ ดูว่า set50 มี หุ้น อะไร บ้าง ในโปรแกรมเทรด**
สำหรับนักลงทุนที่ใช้งานโปรแกรมซื้อขายหุ้น (เช่น โปรแกรม Streaming) เราสามารถเข้าไปดูรายชื่อหุ้นที่เป็นองค์ประกอบของดัชนี SET50 หรือ SET100 ได้โดยตรงในโปรแกรมเลยครับ ปกติจะมีเมนูหรือฟังก์ชันที่แสดงข้อมูลดัชนี และเมื่อคลิกเข้าไป ก็จะเห็นรายชื่อหุ้นทั้งหมดในดัชนีนั้นๆ พร้อมข้อมูลเบื้องต้น ทำให้เราไม่ต้องไปนั่งหาข้อมูลที่อื่น สะดวกมากๆ ครับ
**ลงทุนใน SET50 ผ่านกองทุนรวม: ทางเลือกสบายๆ**
อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่า การลงทุนใน SET50 ที่ง่ายและสะดวกวิธีหนึ่งคือผ่าน “กองทุนรวมดัชนี SET50” กองทุนประเภทนี้เหมาะมากๆ สำหรับคนที่อยากลงทุนในหุ้นใหญ่ 50 ตัว แต่ไม่อยากเลือกเอง ไม่อยากติดตามข่าวหุ้นรายตัวตลอดเวลา หรือมีเงินลงทุนไม่มากพอที่จะซื้อหุ้นครบทุกตัว
กองทุน SET50 Index มีให้เลือกหลายประเภท เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนที่ต่างกันครับ เช่น:
* **กองทุน SET50 แบบไม่จ่ายปันผล:** เหมาะสำหรับคนที่ต้องการให้กำไรสะสมอยู่ในกองทุน เพื่อนำไปลงทุนต่อยอดให้เงินเติบโตไปเรื่อยๆ (เช่น กองทุน KT-SET50-A ของ บลจ.กรุงไทย หรือ T-SET50ACC ของ บลจ.ไทยพาณิชย์)
* **กองทุน SET50 แบบจ่ายปันผล:** เหมาะสำหรับคนที่ต้องการรับผลตอบแทนเป็นเงินสดออกมาเป็นงวดๆ (เช่น กองทุน T-SET50 ของ บลจ.ไทยพาณิชย์ หรือ KT-SET50-D ของ บลจ.กรุงไทย)
* **กองทุน SET50 SSF / RMF:** อันนี้เป็นกองทุนประเภทพิเศษที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ครับ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการลงทุนระยะยาวเพื่อเป้าหมายเกษียณ หรือต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีควบคู่ไปด้วย (เช่น กองทุน PRINCIPAL SET50SSF-SSF ของ บลจ.พรินซิเพิล หรือ SCBRMS50 ของ บลจ.ไทยพาณิชย์)
การลงทุนในกองทุน SET50 Index ทำให้เราได้กระจายความเสี่ยงไปในหุ้นใหญ่ถึง 50 ตัว โดยใช้เงินลงทุนเริ่มต้นไม่สูงมากนัก (บางกองเริ่มต้นเพียง 1 บาท) และยังมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลให้ผลตอบแทนของกองทุนใกล้เคียงกับดัชนี SET50 ที่สุดครับ
**TFEX: ตลาดอนุพันธ์ที่เชื่อมโยงกับ SET50**
ไหนๆ ก็พูดถึง SET50 แล้ว จะไม่พูดถึง TFEX เลยก็คงไม่ได้ เพราะสองอย่างนี้เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก TFEX หรือ ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแห่งประเทศไทย เป็นตลาดสำหรับซื้อขาย “ตราสารอนุพันธ์” (Derivatives) ซึ่งเป็นสัญญาที่มูลค่าขึ้นอยู่กับราคาสินทรัพย์อ้างอิงต่างๆ
ในบรรดาสินค้าหลากหลายประเภทที่มีการซื้อขายใน TFEX ไม่ว่าจะเป็นสินค้ากลุ่ม Equity (เช่น SET50 Index Futures, Single Stock Futures), กลุ่ม Precious Metal (เช่น Gold Futures), กลุ่ม Agriculture, กลุ่ม Currency (เช่น USD/THB Futures) หรือกลุ่ม Interest Rate สินค้าที่อิงกับดัชนี SET50 ถือเป็นสินค้าหลักและได้รับความนิยมอย่างสูง
การซื้อขาย SET50 Index Futures หรือ Options ใน TFEX ช่วยให้นักลงทุนสามารถทำกำไรได้ทั้งในภาวะตลาดขาขึ้นและขาลง และใช้เงินลงทุนเริ่มต้น (เรียกว่าเงินหลักประกัน) น้อยกว่าการซื้อหุ้นจริงทั้ง 50 ตัวมาก แต่ด้วยข้อได้เปรียบนี้ ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกันครับ เพราะเป็นตลาดที่มีอัตราทด (Leverage) สูง การขาดทุนก็อาจจะรุนแรงและเร็วกว่าได้ ใครที่คิดจะเข้ามาในตลาด TFEX จำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ และบริหารความเสี่ยงให้เป็นครับ
ทาง TFEX เองก็มีข้อมูลการซื้อขายต่างๆ ให้ติดตาม ทั้งข้อมูลเรียลไทม์ ข้อมูลย้อนหลัง สถิติ รวมถึงแหล่งความรู้มากมายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ กลไกการซื้อขาย การคำนวณหลักประกัน หรือศัพท์เฉพาะทางการเงิน (Financial Terms) ที่ใช้ในตลาดอนุพันธ์ เพื่อให้นักลงทุนได้ศึกษา ก่อนตัดสินใจลงทุน
**ความเสี่ยงในการลงทุน: เรื่องที่ต้องรู้และเข้าใจ**
มาถึงเรื่องที่สำคัญที่สุดครับ การลงทุนในตลาดทุน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น อนุพันธ์ กองทุนรวม หรือแม้แต่สินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงอย่างเงินดิจิทัล (Digital Currency) **มีความเสี่ยงสูงมากๆ** ครับ
อย่างที่เห็นจากข้อมูล ราคาหุ้นหรือดัชนีสามารถปรับตัวขึ้นลงได้อย่างรวดเร็ว ตามปัจจัยต่างๆ ทั้งภาวะเศรษฐกิจ เสถียรภาพทางการเมือง หรือปัจจัยอื่นๆ ที่ควบคุมได้ยาก
ข้อมูลต่างๆ ที่เผยแพร่ ไม่ว่าจะเป็นบทวิเคราะห์ ข่าวสาร หรือข้อมูลราคาในเว็บไซต์ มักจะเป็นข้อมูลเพื่อ “ชี้นำ” หรือ “ประกอบการพิจารณา” เท่านั้น ไม่ใช่ข้อมูลเรียลไทม์ที่แม่นยำ 100% และไม่ได้เป็นการรับประกันผลตอบแทนในอนาคต
**⚠️ ข้อควรระวัง**: การลงทุนทุกรูปแบบมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจอย่างถี่ถ้วน และทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินนั้นๆ ก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ อย่าลงทุนในสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจ และหากไม่แน่ใจ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนที่มีใบอนุญาต เช่น ที่ปรึกษาทางการเงิน ก่อนตัดสินใจ
**สรุปแล้ว set50 มี หุ้น อะไร บ้าง และเราจะทำอะไรกับมันได้บ้าง?**
หวังว่าถึงตอนนี้ เพื่อนๆ จะพอเห็นภาพแล้วนะครับว่า set50 มี หุ้น อะไร บ้าง และมีความสำคัญกับการลงทุนของเรายังไงบ้าง สรุปง่ายๆ ก็คือ SET50 คือตัวแทนของหุ้นใหญ่ 50 ตัวแรกในตลาดหุ้นไทย เป็นดัชนีอ้างอิงสำคัญ และเป็นแกนหลักของสินค้าและกองทุนที่เกี่ยวข้อง
การรู้ว่า set50 มี หุ้น อะไร บ้าง และเข้าใจหลักการทำงานของมัน เป็นพื้นฐานสำคัญในการต่อยอดไปสู่การลงทุนในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกซื้อหุ้นรายตัวที่อยู่ใน SET50 การลงทุนผ่านกองทุนรวมดัชนี SET50 หรือแม้แต่การใช้ SET50 เป็นดัชนีอ้างอิงในการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ในตลาด TFEX
แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกเส้นทางไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการศึกษาหาความรู้ ทำความเข้าใจความเสี่ยง และเริ่มต้นลงทุนอย่างค่อยเป็นค่อยไปนะครับ ตลาดทุนไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ถ้าเรามีความพร้อมและเข้าใจมันดีพอ
**⚠️ หาก資金流動性不高 (ถ้าเงินทุนหมุนเวียนไม่สูงมาก)** ควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง หรือใช้เครื่องมือที่มีอัตราทดสูงอย่าง TFEX ควรเริ่มต้นจากการลงทุนที่เข้าใจง่ายและมีความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ เช่น กองทุนรวมดัชนี SET50 แบบทยอยลงทุน (Dollar-Cost Averaging) เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา และที่สำคัญ อย่าลืมสำรองเงินสดไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินด้วยนะครับ
การลงทุนคือการเดินทางระยะยาว ขอให้ทุกคนโชคดีและสนุกกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยครับ!