
เคยไหมครับ? เวลาดูข่าวหุ้น หรือเปิดแอปฯ การลงทุน แล้วเห็นตัวเลขวิ่งขึ้นวิ่งลงเต็มไปหมด หนึ่งในดัชนีที่เรามักจะเห็นบ่อยๆ และถือเป็นหัวใจสำคัญของตลาดหุ้นไทยเลยก็ว่าได้ นั่นก็คือ หุ้น set 50 หรือที่เรียกกันเต็มๆ ว่า ดัชนี SET50 Index นั่นเองครับ
แล้วเจ้า SET50 นี่มันคืออะไร? ทำไมเราถึงต้องรู้จักมัน? ง่ายๆ เลยครับ ลองนึกภาพว่าตลาดหุ้นไทยมีทีมฟุตบอลอยู่หลายร้อยทีม SET50 Index ก็เหมือนกับการรวบรวมเอา “นักเตะตัวท็อป” ที่เก่งที่สุด และมีมูลค่าสูงที่สุด 50 คน จากทีมเหล่านั้นมารวมกันเป็นทีมชาติพิเศษนั่นแหละครับ คือเป็นกลุ่มหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่สุด 50 อันดับแรกในตลาดหุ้นไทย ที่มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูงมากๆ คัดเลือกกันทุกๆ 6 เดือน ดังนั้นรายชื่อก็จะมีการปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามความเปลี่ยนแปลงของบริษัทต่างๆ ครับ
การคำนวณดัชนี SET50 เขาจะใช้วิธีถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap) คือหุ้นตัวไหนมีมูลค่าตลาดรวมสูงๆ ก็จะมีน้ำหนักต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีมากหน่อย ส่วนอีกแบบคือ SET50FF Index ที่ปรับน้ำหนักด้วยสัดส่วนหุ้นที่นักลงทุนรายย่อยซื้อขายได้จริง (Free Float Adjusted) เพื่อให้สะท้อนสภาพคล่องที่แท้จริงมากขึ้น เจ้าดัชนีพวกนี้เลยกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่บอกเราว่า “ภาพรวม” ของหุ้นใหญ่ๆ ในไทยตอนนี้เป็นยังไงบ้าง สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทเหล่านี้ได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว

ลองมาดูภาพตลาด ณ จุดเวลาหนึ่งกันครับ จากข้อมูลที่เห็น ณ วันที่ 3 เม.ย. 2568 เวลาประมาณห้าทุ่ม ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ปิดทำการไปแล้ว โดยมีตัวเลขล่าสุดที่น่าสนใจ เช่น ราคาเปิดอยู่ที่ 741.54 จุด วิ่งขึ้นไปสูงสุดที่ 744.70 จุด และลงมาต่ำสุดที่ 737.49 จุด ในวันนั้น มีปริมาณการซื้อขายรวม 1,723,808 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าการซื้อขาย 27,297.72 ล้านบาท ซึ่งการเคลื่อนไหวของดัชนีหลักอย่าง SET50 และ SET100 นี่แหละครับ ที่เป็นเหมือนเทอร์โมมิเตอร์วัดไข้ตลาดหุ้นไทยเลย ว่าวันนั้นคึกคักแค่ไหน หรือซึมๆ ไปหน่อย
ในกลุ่ม “นักเตะตัวท็อป” หรือ หุ้น set 50 เนี่ย มีใครเป็นดาวเด่นบ้าง ลองยกตัวอย่างจากข้อมูลที่มีดูนะครับ เราจะเห็นชื่อคุ้นหูหลายๆ ตัว เช่น PTT (บมจ. ปตท.) ยักษ์ใหญ่พลังงาน ที่มีมูลค่าตลาดสูงลิ่ว และให้ผลตอบแทนเงินปันผล (% Div yield) ที่น่าสนใจทีเดียว หรือ DELTA (บมจ. เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย)) หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีมูลค่าตลาดสูงเช่นกัน แต่ดูเหมือนในวันนั้นราคาจะขยับขึ้นแรงพอสมควร หรือจะเป็น ADVANC (บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส) ผู้นำด้านโทรคมนาคม ที่นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าเป็นหุ้นที่มีแรงซื้อเข้ามา นอกจากนี้ยังมี AOT (บมจ. ท่าอากาศยานไทย) ในกลุ่มระบบขนส่ง CPALL (บมจ. ซีพี ออลล์) เจ้าของร้านสะดวกซื้อ ที่วันนั้นมีแรงซื้อค่อนข้างแรง และ KBANK (บมจ. ธนาคารกสิกรไทย) หรือ SCB (บมจ. ธนาคารไทยพาณิชย์) ในกลุ่มธนาคารใหญ่ๆ ซึ่งแต่ละตัวก็จะมีเรื่องราว มีปัจจัยพื้นฐาน (เช่น อัตราส่วน P/E ที่บอกว่าหุ้นแพงหรือถูกเมื่อเทียบกับกำไร, EPS ที่บอกกำไรต่อหุ้น) และมุมมองจากนักวิเคราะห์ที่แตกต่างกันไป เหมือนนักเตะแต่ละคนก็มีสไตล์การเล่นไม่เหมือนกันนั่นแหละครับ การติดตามความเคลื่อนไหวและสถิติของหุ้นเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจภาพรวมของ SET50 ได้ดีขึ้น

แล้วถ้าเราอยากลงทุนใน หุ้น set 50 โดยไม่อยากเลือกซื้อหุ้นทีละตัวล่ะ ทำยังไงได้บ้าง? ตลาดเขาก็มีตัวช่วยครับ นั่นคือ “กองทุนรวม SET50 Index” (กองทุนรวมที่ลงทุนอิงดัชนี SET50) กองทุนพวกนี้มีเป้าหมายชัดเจนคือ ทำให้ผลตอบแทนของกองทุน “วิ่งตาม” หรือ “ล้อไปกับ” ผลตอบแทนของดัชนี SET50 Index ให้ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า Passive Investment หรือการลงทุนแบบเน้นเลียนแบบดัชนี คือไม่ได้พยายามหาหุ้นเด็ดที่จะเอาชนะตลาด แต่แค่ซื้อหุ้นให้เหมือนกับที่อยู่ใน SET50 และปรับพอร์ตตามการเปลี่ยนแปลงของดัชนี ข้อดีคือค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการกองทุนมักจะต่ำกว่ากองทุนหุ้นทั่วไป เพราะผู้จัดการกองทุนไม่ต้องมานั่งวิเคราะห์หุ้นรายตัวมากมาย แค่ทำตามตะกร้าของดัชนี SET50 เท่านั้นเองครับ
แต่ข้อควรจำคือกองทุนประเภทนี้ก็มีความเสี่ยงนะครับ คือถ้าดัชนี SET50 ลง กองทุนเราก็จะลงตามไปด้วย ต้องยอมรับความผันผวนของราคาหุ้นที่อยู่ในดัชนีนั้นให้ได้ กองทุนรวม SET50 Index ก็มีให้เลือกหลายแบบครับ ทั้งแบบที่จ่ายเงินปันผลให้เรา (เหมือนได้ปันผลจากหุ้น) หรือแบบไม่จ่ายเงินปันผล (เอาปันผลไปลงทุนต่อในกองทุนเลย) และยังมีแบบที่ใช้ลดหย่อนภาษีได้ด้วย เช่น กองทุน SSF (Super Savings Fund) และ RMF (Retirement Mutual Fund) หลายๆ บลจ. (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน) ก็มีกองทุน SET50 Index ให้เลือกครับ เช่นของ บลจ.กสิกรไทย, บลจ.ไทยพาณิชย์, บลจ.ทหารไทย (ตอนนี้คือ TMBAM Eastspring), บลจ.วรรณ หรือ บลจ.ฟินันซ่า เป็นต้น การเลือกกองทุนก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เราต้องการครับ
นอกจากการซื้อหุ้นรายตัวหรือกองทุนรวมที่อิงดัชนีแล้ว สำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้สูงขึ้นและมีความรู้เฉพาะทาง ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) ก็มีผลิตภัณฑ์ที่อิงกับ หุ้น set 50 ให้ซื้อขายได้เช่นกันครับ อย่าง SET50 Index Futures (สัญญาซื้อขายล่วงหน้า SET50 Index) หรือ SET50 Index Options (สัญญาออปชัน SET50 Index) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการบริหารความเสี่ยง หรือการเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของดัชนี SET50 โดยไม่ต้องซื้อขายหุ้นจริงๆ แต่การลงทุนในอนุพันธ์เหล่านี้มีความซับซ้อนและความเสี่ยงสูงกว่าการซื้อขายหุ้นหรือกองทุนรวมธรรมดา ต้องศึกษาทำความเข้าใจอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจนะครับ
แล้วเราจะใช้ประโยชน์จาก SET50 Index ในการลงทุนของเรายังไงได้บ้าง? ดัชนีนี้เหมือนเป็นเข็มทิศนำทางให้เราครับ
1. มองแนวโน้มตลาด: การดูว่า SET50 Index กำลังขึ้นหรือลงแรงๆ ช่วยให้เราพอจะเดาแนวโน้มโดยรวมของตลาดหุ้นใหญ่ได้ ว่าตอนนี้บรรยากาศเป็นบวกหรือลบ
2. ใช้เป็นเกณฑ์เปรียบเทียบ: ถ้าเราลงทุนในหุ้นตัวอื่น หรือกองทุนหุ้นที่ไม่ได้อิง SET50 เราก็สามารถเอาผลตอบแทนของเราไปเทียบกับ SET50 Index ได้ ว่าเราทำได้ดีกว่าหรือแย่กว่า “นักเตะตัวท็อป” เหล่านี้
3. เป็นเครื่องมือสำหรับกลยุทธ์: นักลงทุนบางคนใช้ SET50 Index ในการตัดสินใจซื้อขาย เช่น ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค (ดูจากกราฟราคา) หรือใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (ดูข่าวสาร งบการเงินบริษัท) เพื่อกำหนดจังหวะเข้าซื้อหรือขาย หุ้น set 50 หรือกองทุนที่อิงดัชนี
4. ลงทุนง่ายๆ ผ่านกองทุน: อย่างที่บอกไป ถ้าไม่อยากปวดหัวเลือกหุ้นเอง การลงทุนในกองทุน SET50 Index ก็เป็นวิธีที่ง่ายและประหยัดค่าใช้จ่าย ในการกระจายความเสี่ยงไปในหุ้นใหญ่ 50 ตัวพร้อมๆ กันครับ
สรุปแล้ว หุ้น set 50 ไม่ได้เป็นแค่ตัวเลขบนหน้าจอ แต่เป็นภาพสะท้อนกลุ่มบริษัทชั้นนำของไทย ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดหุ้น การเข้าใจว่า SET50 คืออะไร ประกอบด้วยหุ้นอะไรบ้าง มีเครื่องมือการลงทุนแบบไหนที่เกี่ยวข้องบ้าง จะช่วยให้เราเห็นภาพรวมและวางแผนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ดีขึ้นครับ
⚠️ แต่อย่าลืมนะครับว่า การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ ตัวเลขและข้อมูลในอดีต รวมถึงข้อมูล ณ วันที่ 3 เม.ย. 2568 เป็นเพียง snapshot ในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น และอาจไม่สะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคต ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลของผลิตภัณฑ์การลงทุนแต่ละประเภท ทั้งลักษณะผลตอบแทน เงื่อนไข และความเสี่ยงต่างๆ ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้งนะครับ โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดอนุพันธ์ (TFEX) ที่มีความเสี่ยงสูงกว่า หรือหากยังไม่มั่นใจ อาจจะลองปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือเริ่มต้นจากกองทุนรวม SET50 Index ที่กระจายความเสี่ยงและมีค่าใช้จ่ายต่ำก่อนก็ได้ครับ