
เฮ้! เพื่อนๆ เคยสงสัยไหมว่า เวลาดูข่าวหุ้น แล้วได้ยินคำว่า ‘SET50’ เนี่ย มันคืออะไรกันแน่? ทำไมคนถึงพูดถึงกันเยอะจัง? แล้วไอ้ `รายชื่อหุ้น set50 2566` ที่เขาปรับเปลี่ยนกันตอนครึ่งปีหลังมันมีตัวไหนเข้าออกบ้าง แล้วล่าสุดปี 2568 ล่ะ มีการเปลี่ยนแปลงอีกไหม? วันนี้ในฐานะเพื่อนซี้ (ที่บังเอิญรู้เรื่องการเงินนิดหน่อย) จะมาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ เหมือนคุยกันที่ร้านกาแฟเลย
ลองนึกภาพตามนะครับ… ตลาดหุ้นไทยเนี่ย เหมือนสนามฟุตบอลขนาดใหญ่ มีผู้เล่นเป็นร้อยๆ ทีม แต่ในบรรดาทีมเหล่านี้ มีทีมที่แข็งแกร่ง มีแฟนคลับเยอะ (คือมูลค่าตลาดสูง) และซื้อขายกันคึกคักสุดๆ อยู่ 50 ทีมแรก นี่แหละคือ “รวมดาวตัวท็อป” หรือที่ในวงการเรียกว่า หุ้นที่อยู่ในดัชนี SET50 นั่นเองครับ
ดัชนี SET50 เนี่ย ไม่ใช่แค่ตัวเลขลอยๆ นะครับ มันคือภาพรวมสุขภาพของบริษัทขนาดใหญ่ 50 อันดับแรกในบ้านเรา ถ้า SET50 ขึ้น ส่วนใหญ่ก็แปลว่าหุ้นตัวใหญ่ๆ กำลังไปได้สวย ถ้า SET50 ลง ก็อาจจะบ่งชี้ถึงภาพรวมที่ไม่ค่อยดีนัก ถามว่ามีบริษัทไหนบ้างที่อยู่ในลิสต์ `รายชื่อหุ้น set50 2566`? ส่วนใหญ่ก็เป็นชื่อที่คุ้นหูคุ้นตากันดีครับ อย่างตอนปี 2566 นะครับ ในลิสต์นั้นก็มีตั้งแต่บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ (อย่าง ADVANC) บริษัทที่ดูแลสนามบินทั้งหมดของประเทศ (อย่าง AOT) ไปจนถึงพี่ใหญ่ด้านพลังงานอย่าง ปตท. (PTT) แบงก์ดังๆ อย่าง BBL หรือร้านสะดวกซื้อที่เราเดินเข้าทุกวันอย่าง CPALL ก็อยู่ในกลุ่มนี้ครับ พูดง่ายๆ คือเป็นตัวแทนของธุรกิจขนาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเลยล่ะ
แต่ `รายชื่อหุ้น set50 2566` เนี่ย มันไม่ได้คงที่ถาวรนะครับ ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ เขาจะมีการทบทวนทุกครึ่งปี เพื่อดูว่ามีบริษัทไหนโตขึ้นมาจนเข้าข่ายติด 50 อันดับแรกได้บ้าง หรือมีบริษัทไหนที่ขนาดเล็กลงไป ก็จะมีการปรับเปลี่ยนรายชื่อกันครับ เหมือนการอัปเดตรายชื่อผู้เล่นตัวจริงนั่นแหละ การปรับเปลี่ยนนี้สำคัญนะครับ เพราะกองทุนรวมหลายกองทุน โดยเฉพาะที่เป็นประเภท กองทุนดัชนี (Index Fund) จะต้องปรับพอร์ตตาม เพื่อให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี SET50 ให้มากที่สุด

ย้อนกลับไปดูการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญๆ หน่อย อย่างรอบครึ่งหลังปี 2566 (ตอนนั้นใช้ข้อมูลจากกลางปี 2565 ถึงกลางปี 2566 มาคำนวณ) ใน SET50 ก็มีการเปลี่ยนแปลงครับ มีหุ้นใหม่ที่เข้ามาเสริมทัพ 2 ตัว คือ TLI (ไทยประกันชีวิต) กับ WHA (ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น) ส่วนหุ้นที่ต้องออกจาก SET50 ไปในรอบนั้นก็มี JMT (เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส) กับ JMART (เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์) การเข้าออกนี้ก็สร้างแรงกระเพื่อมในตลาดได้ไม่น้อยเลยครับ เพราะอย่างที่บอกว่ามีผลต่อการปรับพอร์ตของกองทุนต่างๆ
แล้วปี 2568 ที่กำลังจะถึงล่ะ มีตัวไหนที่ถูกประกาศว่าจะเข้า SET50 บ้าง? ล่าสุดทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ประกาศรายชื่อสำหรับรอบครึ่งแรกของปี 2568 (ที่จะเริ่มใช้ตั้งแต่มกราคม 2568) ออกมาแล้วนะครับ คราวนี้มีผู้เล่นใหม่ที่จะเข้ามาใน SET50 ถึง 4 ตัวเลยครับ ได้แก่ BANPU (บ้านปู) ที่กลับเข้ามาอีกครั้ง, CCET (แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ ประเทศไทย), COM7 (คอมเซเว่น) เจ้าของร้าน gadget ดังๆ, และ SAWAD (ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ก็สะท้อนให้เห็นภาพการเติบโตและสถานะของบริษัทเหล่านี้ในช่วงที่ผ่านมาครับ นอกจาก SET50 แล้ว ดัชนี SET100 (ที่รวม 100 ตัวใหญ่) รวมถึงดัชนีอื่นๆ อย่าง sSET, SETCLMV, SETHD, SETESG, SETWB ก็มีการปรับรายชื่อเช่นกัน แต่โฟกัสหลักของเราวันนี้คือ SET50 ตัวท็อปครับ
นอกจากการติดตามว่า `รายชื่อหุ้น set50 2566` หรือปีต่อๆ ไปมีการเปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง นักลงทุนหลายคนก็สนใจหุ้นในกลุ่ม SET50 ที่ให้ผลตอบแทนดีๆ ในรูปแบบของ เงินปันผล ด้วยครับ เพราะเหมือนได้ปันผลจากผลกำไรของบริษัทใหญ่ๆ ที่พื้นฐานแข็งแกร่ง สำหรับใครที่ชอบหุ้นปันผล ในกลุ่ม SET50 ก็มีหลายตัวที่น่าสนใจครับ อย่างข้อมูลต้นปี 2568 (อ้างอิงข้อมูล ณ 24 มกราคม 2568) หุ้นใน SET50 ที่มีอัตรา เงินปันผลตอบแทน YTD สูงสุด 7 อันดับแรก ก็มีตัวอย่างเช่น TOP, LH, SCB, OSP, PTTEP, BANPU, และ TISCO ซึ่งแต่ละตัวก็มีอัตราปันผลที่สูงใช้ได้เลยครับ อย่าง TOP นี่อัตราปันผล YTD สูงถึง 12.59% เลยทีเดียว (ตัวเลขนี้คืออัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในช่วงต้นปีถึงวันที่ 24 มกราคม 2568 นะครับ ไม่ใช่ทั้งปี และอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา) การลงทุนในหุ้นปันผลสูงก็เป็นอีกกลยุทธ์ที่หลายคนนิยม แต่ก็ต้องดูปัจจัยอื่นๆ ควบคู่ไปด้วยนะครับ ไม่ใช่แค่ปันผลสูงอย่างเดียวแล้วจะดีเสมอไป

ทีนี้ถ้าบอกว่า อยากลงทุนในหุ้นกลุ่ม SET50 แต่ไม่อยากเลือกหุ้นรายตัวเอง เพราะดูยากจัง มีตั้ง 50 ตัว จะทำยังไงดี? ทางเลือกที่ง่ายกว่าก็คือการลงทุนผ่าน “กองทุนรวมดัชนี SET50” ครับ กองทุนประเภทนี้มีเป้าหมายง่ายๆ คือ ลงทุนในหุ้นทุกตัวที่อยู่ในดัชนี SET50 ในสัดส่วนใกล้เคียงกับน้ำหนักในดัชนี เพื่อให้ผลตอบแทนของกองทุนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของ SET50 มากที่สุด กองทุนแบบนี้เขาเรียกว่า กองทุนแบบ Passive Fund ครับ ข้อดีคือ กลยุทธ์ไม่ซับซ้อน ค่าธรรมเนียมมักจะต่ำกว่ากองทุนที่ผู้จัดการกองทุนเลือกหุ้นเอง และเหมาะมากๆ สำหรับนักลงทุนมือใหม่ หรือคนที่อยากกระจายความเสี่ยงไปในหุ้นใหญ่ 50 ตัวพร้อมๆ กัน มีหลายบริษัทจัดการกองทุนในไทยที่เสนอกองทุน SET50 Index นะครับ มีทั้งแบบที่จ่ายเงินปันผลให้เราเป็นงวดๆ หรือแบบไม่จ่ายเงินปันผล (กำไรไปทบในมูลค่าหน่วยลงทุน) และยังมีแบบพิเศษที่เอาไว้ใช้ลดหย่อนภาษีได้ด้วยนะ เช่น SSF (Super Savings Fund) หรือ RMF (Retirement Mutual Fund) ก็มีกองทุน SET50 Index ให้เลือกเหมือนกัน
นอกจากซื้อหุ้นรายตัว หรือลงทุนผ่านกองทุนรวมแล้ว ยังมีอีกสนามที่นักลงทุนสามารถใช้เทรดที่อิงกับดัชนี SET50 ได้ นั่นก็คือ ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือ TFEX (Thailand Futures Exchange) นั่นเองครับ ที่นี่มีผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า SET50 Index Futures และ SET50 Index Options ซึ่งเป็นการทำสัญญาเพื่อซื้อหรือขายดัชนี SET50 ในอนาคตครับ อันนี้จะแตกต่างจากการซื้อขายหุ้นปกติพอสมควร เพราะมักจะมีการใช้ “เงินวางหลักประกัน” (Margin) ในการซื้อขาย ทำให้ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นน้อยกว่า แต่ก็มีความเสี่ยงสูงกว่ามากเช่นกันครับ เพราะมีการใช้ Leverage (อัตราทด) เข้ามาเกี่ยวข้อง หากทิศทางตลาดไม่เป็นไปตามที่เราคาด ก็อาจขาดทุนหนักได้เลย TFEX ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกหลากหลายนะครับ ทั้ง Single Stock Futures (อิงกับหุ้นรายตัว), Futures ทองคำ, ค่าเงิน ฯลฯ และมีข้อมูล สถิติ รวมถึงแหล่งความรู้ต่างๆ ให้นักลงทุนได้ศึกษาด้วยครับ
สรุปแล้ว `รายชื่อหุ้น set50 2566` ที่เราเคยเห็น หรือรายชื่อใหม่ที่จะใช้ในปี 2568 ล้วนเป็นแค่ snapshot ของบริษัทชั้นนำในแต่ละช่วงเวลาครับ การลงทุนในหุ้นกลุ่ม SET50 ไม่ว่าจะเป็นการเลือกซื้อหุ้นรายตัว การลงทุนผ่านกองทุนรวม หรือการใช้เครื่องมือใน TFEX ล้วนมีทั้งโอกาสและความเสี่ยง
ในฐานะคอลัมนิสต์ อยากจะฝากไว้ว่า ก่อนที่เราจะตัดสินใจลงทุนอะไรก็ตาม ไม่ใช่แค่หุ้น SET50 นะครับ ควรจะทำความเข้าใจให้ดีก่อนว่าเรากำลังลงทุนในอะไร บริษัททำธุรกิจอะไร สถานการณ์ตลาดเป็นยังไง และที่สำคัญคือ เรายอมรับความเสี่ยงได้แค่ไหน ถ้าเราเป็นมือใหม่ กองทุนรวมดัชนี SET50 ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการเริ่มต้น เพราะเป็นการกระจายความเสี่ยงไปในหุ้นใหญ่ 50 ตัวได้ทันทีด้วยเงินที่ไม่มากนัก แต่ถ้าเรามีเวลา ศึกษาข้อมูล และรับความเสี่ยงจากการเลือกหุ้นรายตัวได้ การเจาะไปที่บางตัวใน SET50 ที่เราเข้าใจธุรกิจและเห็นโอกาส ก็เป็นอีกทางเลือกครับ ส่วนตลาดอนุพันธ์อย่าง TFEX นั้น ต้องบอกว่าเป็นสนามสำหรับคนที่เข้าใจกลไกและความเสี่ยงเป็นอย่างดีแล้วนะครับ เพราะมีการใช้ Leverage เข้ามาเกี่ยวข้อง
จำไว้นะครับ การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลของผลิตภัณฑ์การลงทุนที่สนใจให้เข้าใจอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง จะได้ลงทุนอย่างสบายใจและอยู่รอดในตลาดได้อย่างยั่งยืนครับ