SET50 ซื้อยังไง?มือใหม่ก็ลงทุนหุ้นใหญ่ได้ง่ายๆ!

เคยไหมครับ รู้สึกว่าเก็บเงินไว้เฉยๆ ในบัญชีออมทรัพย์ ดอกเบี้ยก็น้อยนิดเหลือเกิน จะเอาไปลงทุนอะไรดีที่ดูมั่นคงหน่อย แถมได้ลุ้นผลตอบแทนที่ดีขึ้นมาอีกนิด? ถ้าคำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัวคุณ การมองหาโอกาสใน ‘หุ้นใหญ่ๆ’ ของบ้านเราก็น่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจครับ

แต่พอพูดถึงการลงทุนในหุ้น หลายคนอาจจะรู้สึกว่า โอ้โห มันยากจังเลย ต้องเลือกหุ้นตัวไหน? จะรู้ได้ไงว่าบริษัทไหนดี? ไม่ต้องกังวลไปครับ วันนี้ผมในฐานะคอลัมนิสต์การเงิน จะพาไปทำความรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า ‘SET50’ ซึ่งเป็นเหมือนตัวแทนของบริษัทใหญ่ๆ ในตลาดหุ้นไทย และตอบคำถามสำคัญที่หลายคนสงสัยว่า “set50 ซื้อยังไง” แบบเข้าใจง่ายๆ เหมือนคุยกับเพื่อนเลยครับ

**SET50 คืออะไร? ทำไมต้องสนใจ?**

ลองนึกภาพนะครับ SET50 ก็เหมือนการรวมตัวของ 50 บริษัทมหาชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยวัดจาก ‘มูลค่าตลาด’ (Market Capitalization) และมี ‘สภาพคล่อง’ การซื้อขายที่ดี เป็นพี่ใหญ่ในตลาดหุ้นบ้านเราเลยก็ว่าได้ ตัวดัชนี SET50 นี้ใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการวัดสุขภาพของตลาดหุ้นขนาดใหญ่โดยรวมในแต่ละวัน (ดัชนีเริ่มต้นใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ด้วยค่า 1,000 จุด) มูลค่ารวมๆ ของ 50 ตัวนี้คิดเป็นประมาณ 40% ของตลาดหุ้นไทยทั้งตลาดเลยนะ ครอบคลุมอุตสาหกรรมหลักๆ เพียบ เช่น พลังงาน ธนาคาร อิเล็กทรอนิกส์ ขนส่ง ซึ่งทำให้การลงทุนใน SET50 (ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม) ก็เหมือนเราได้กระจายความเสี่ยงไปในหลายอุตสาหกรรมพร้อมๆ กัน โดยหุ้นใน SET50 จะมีการปรับเปลี่ยนรายชื่อทุกๆ 6 เดือน (ช่วงเดือนมิถุนายนและธันวาคม) เพื่อให้สะท้อนภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยมีเกณฑ์คัดเลือกที่ชัดเจน เช่น เป็นหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน (มีข้อยกเว้นบ้าง) ไม่อยู่ในข่ายเสี่ยงที่จะถูกเพิกถอน มีมูลค่าตลาดสูง มี ‘ผู้ถือหุ้นรายย่อย’ (Minority Shareholders) ตามเกณฑ์ และมีมูลค่าการซื้อขายสม่ำเสมอ

**มาถึงคำถามหลัก: set50 ซื้อยังไง?**

เอาล่ะครับ เข้าสู่หัวข้อที่เราอยากรู้ที่สุดแล้วว่า “set50 ซื้อยังไง” จริงๆ แล้ว การลงทุนใน SET50 ไม่ได้หมายความว่าเราต้องไปไล่ซื้อหุ้นครบทั้ง 50 ตัวนะครับ ซึ่งคงจะยุ่งยากน่าดู แต่เราสามารถลงทุนในสิ่งที่ ‘อ้างอิง’ กับดัชนี SET50 ได้ ซึ่งมีหลายวิธี แต่วิธีที่นิยมและเหมาะกับนักลงทุนทั่วไป มีอยู่ 2 ช่องทางหลักๆ ครับ

**วิธีที่ 1: ลงทุนผ่าน ‘กองทุนรวมดัชนี SET50’ (SET50 Index Fund)**

นี่เป็นวิธีที่ง่ายและได้รับความนิยม โดยเฉพาะกับมือใหม่ครับ กองทุนรวมดัชนี SET50 มีนโยบายการลงทุนที่เรียบง่าย ตรงไปตรงมา คือ ‘วิ่งตามดัชนี SET50’ เลยครับ พูดง่ายๆ คือ ผู้จัดการกองทุนจะนำเงินของเราไปลงทุนในหุ้น 50 ตัวนั้น ให้มีสัดส่วนใกล้เคียงกับน้ำหนักของหุ้นแต่ละตัวในดัชนี SET50 มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ (เป็นกองทุนแบบ ‘Passive Fund’)

**ข้อดีของการลงทุนผ่านกองทุน SET50 Index Fund:**

* **ง่าย:** ไม่ต้องเลือกหุ้นเอง ผู้จัดการกองทุนดูแลให้
* **กระจายความเสี่ยง:** ได้ลงทุนในหุ้นใหญ่ถึง 50 ตัวพร้อมกัน ลดความเสี่ยงที่เกิดจากหุ้นรายตัว
* **ค่าธรรมเนียมต่ำ:** เมื่อเทียบกับกองทุนหุ้นประเภทอื่น เพราะไม่ต้องใช้ผู้จัดการกองทุนวิเคราะห์เลือกหุ้นเชิงลึก
* **เหมาะกับระยะยาว:** เป็นเครื่องมือที่ดีในการสร้างความมั่นคงให้พอร์ตการลงทุนในระยะยาว

กองทุน SET50 Index Fund ก็มีหลายแบบให้เลือกนะครับ ทั้งแบบที่จ่ายเงินปันผลหรือไม่จ่ายเงินปันผล หรือแบบที่สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ เช่น กองทุนประเภท SSF (Super Savings Fund) หรือ RMF (Retirement Mutual Fund) ซึ่งเราสามารถซื้อขายกองทุนพวกนี้ได้ผ่านธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) หรือช่องทางออนไลน์ต่างๆ เช่น แอป K PLUS ของธนาคารกสิกรไทย, เว็บไซต์ของ บลจ. ต่างๆ เช่น SCBAM, TMBAM Eastspring หรือแพลตฟอร์มเปรียบเทียบกองทุนอย่าง FINNOMENA FUNDS เป็นต้น

ยกตัวอย่างข้อมูลของกองทุนบางกอง (อ้างอิงข้อมูลเก่าจากแหล่งข้อมูล) เช่น กองทุน K-SET50 (กองทุนเปิดเค เซ็ท 50) ที่เป็นแบบสะสมมูลค่า ไม่จ่ายปันผล จัดตั้งมานานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 จัดเป็นกองทุนรวมดัชนีตราสารแห่งทุน ระดับความเสี่ยง 6 ซึ่งเป็นระดับสูงสำหรับกองทุนรวมหุ้นทั่วไป การซื้อขายก็ทำได้ทุกวันทำการ มีขั้นต่ำในการซื้อ/ขายคืนเล็กน้อย โดย ‘มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ’ หรือ ‘NAV’ จะประกาศในวันทำการถัดไป (T+1) และจะได้รับเงินค่าขายคืนในอีก 2 วันทำการถัดไป (T+2) แน่นอนว่ามีค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่เรียกเก็บทั้งจากกองทุนและผู้ถือหน่วย เช่น ค่าธรรมเนียมการจัดการ ค่าธรรมเนียมผู้ดูแลผลประโยชน์ หรือค่าธรรมเนียมการซื้อขาย

สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจมากๆ ก่อนลงทุนในกองทุนรวม คือ ‘ผลการดำเนินงานในอดีต’ เช่น ข้อมูลผลตอบแทนย้อนหลังต้นปีจนถึงปัจจุบัน หรือผลตอบแทนเฉลี่ยตั้งแต่จัดตั้ง เป็นเพียงตัวเลขที่บอกสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเท่านั้น **แต่ “ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต”** นะครับ ย้ำอีกครั้ง! เราต้องศึกษา ‘หนังสือชี้ชวน’ และ ‘หนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ’ ของกองทุนที่เราสนใจให้ละเอียดก่อนตัดสินใจเสมอ

**วิธีที่ 2: เทรด ‘SET50 Index Futures’ ในตลาด TFEX**

อีกวิธีที่น่าสนใจ แต่ซับซ้อนขึ้นมาอีกหน่อย และเหมาะกับคนที่รับ ‘ความเสี่ยง’ ได้สูงขึ้น เข้าใจเรื่องกลไกตลาด และอาจจะต้องการใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงของพอร์ตหุ้นที่ถืออยู่ด้วย ก็คือ ‘SET50 Index Futures’ ที่ซื้อขายใน ‘ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า’ หรือ ‘TFEX’ ครับ

SET50 Index Futures เป็น ‘สัญญา’ ซื้อขายล่วงหน้าที่มีดัชนี SET50 เป็นสินค้าอ้างอิง ไม่ได้เป็นการซื้อหุ้นจริงๆ แต่เป็นการทำสัญญากันว่าจะซื้อหรือขายดัชนี SET50 ที่ราคาเท่าไหร่ ในอนาคต

**ประโยชน์ของการเทรด SET50 Index Futures:**

* **ต้นทุนต่ำ:** มี ‘ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย’ ที่ต่ำ และส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อ (Bid) และราคาเสนอขาย (Ask) หรือ ‘Bid Ask Spread’ ก็ค่อนข้างแคบ ทำให้ต้นทุนในการเข้า-ออกสถานะต่ำ
* **สภาพคล่องสูง:** เป็นสินค้าที่มีคนนิยมเทรดกันมาก ทำให้ซื้อขายได้ง่าย
* **ทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง:** ถ้าคาดว่าดัชนีจะขึ้นก็เปิดสถานะซื้อ (Long) ถ้าคาดว่าจะลงก็เปิดสถานะขาย (Short) ก่อนได้
* **มี ‘อัตราทด’ หรือ ‘Leverage’:** ข้อนี้เป็นดาบสองคมครับ Leverage ทำให้เราใช้เงินลงทุนน้อย (เป็นเงินประกันเริ่มต้น) แต่สามารถควบคุมสัญญาที่มีมูลค่าสูงกว่าหลายเท่า ทำให้มีโอกาสได้ ‘ผลตอบแทน’ สูงมาก

**แต่… ความเสี่ยงก็สูงมากตามไปด้วย!**

ใช่ครับ ไอ้เจ้า ‘Leverage’ นี่แหละ ที่เป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง ถ้าทิศทางตลาดไม่เป็นไปตามที่เราคาด ‘อัตราทด’ จะทำให้เรา ‘ขาดทุน’ ได้เร็วและเยอะมหาศาลเช่นกัน ดังนั้น การเทรด SET50 Index Futures เหมาะกับคนที่เข้าใจกลไกและยอมรับความเสี่ยงได้สูงจริงๆ ครับ ควรศึกษาเรื่อง ‘เงินประกัน’ (Margin) และวิธีการบริหาร ‘สถานะของสัญญา’ ให้ดี

ตั้งแต่ 25 มีนาคม 2567 เป็นต้นมา ตลาด TFEX ได้มีการขยายเวลาทำการซื้อขายช่วงบ่ายให้เร็วขึ้น 30 นาที เพื่อให้สอดคล้องกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยนะครับ ใครที่เทรดอยู่ก็อย่าลืมเช็คเวลาใหม่ด้วย

**ปัจจัยอะไรบ้างที่กระทบ SET50?**

อย่างที่บอกครับ SET50 คือตัวแทนหุ้นใหญ่ การเคลื่อนไหวของดัชนีจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับหุ้น 50 ตัวนั้นอย่างเดียว แต่ยังได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายนอกอื่นๆ ที่เราต้องจับตาดูด้วย เช่น:

* **ภาวะเศรษฐกิจ:** ตัวเลขต่างๆ เช่น อัตราจ้างงาน อัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ ตัวเลข GDP หรือความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ล้วนส่งผลต่อผลประกอบการของบริษัทใหญ่ๆ
* **เสถียรภาพทางการเมือง:** สถานการณ์การเมืองในประเทศมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ
* **ราคาสินค้าโภคภัณฑ์:** เช่น ราคาน้ำมันดิบ หรือราคาทองคำ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อหุ้นในกลุ่มพลังงานและกลุ่มที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีสัดส่วนใหญ่ใน SET50

**สรุปแล้ว set50 ซื้อยังไงดี?**

สำหรับคำถาม ‘set50 ซื้อยังไง’ ก็คือ เราสามารถเลือกลงทุนได้ 2 วิธีหลักๆ ครับ คือ ผ่าน ‘กองทุนรวมดัชนี SET50’ ที่เหมาะกับมือใหม่ ต้องการกระจายความเสี่ยงในหุ้นใหญ่หลายตัว และเน้นการลงทุนระยะยาว หรือจะลุย ‘SET50 Index Futures’ ใน TFEX ที่ใช้เงินน้อย มี Leverage แต่ความเสี่ยงและโอกาสก็สูงลิบเช่นกัน และเหมาะกับการบริหารพอร์ตหรือทำกำไรระยะสั้น

สิ่งสำคัญที่สุดคือ ‘ศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ’ ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีไหนก็ตาม เข้าใจเครื่องมือที่เราจะใช้ลงทุน ประเมินความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ และที่สำคัญคือ ควรเริ่มจากจำนวนเงินที่เราไม่เดือดร้อนถ้าต้องขาดทุนนะครับ ถ้ายังไม่มั่นใจ หรือไม่เข้าใจตรงไหน ปรึกษา ‘ผู้แนะนำการลงทุน’ หรือ ‘โบรเกอร์’ ที่เราใช้บริการก่อนตัดสินใจเสมอครับ

⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน

Leave a Reply