
เพื่อนๆ นักลงทุน หรือจะเรียกง่ายๆ ว่าเพื่อนร่วมเดินทางในตลาดหุ้นไทย ช่วงนี้เป็นไงกันบ้างครับ? หลายคนน่าจะพอเห็นข่าว หรือได้ยินเพื่อนๆ บ่นๆ กันมาบ้างว่า ตลาดหุ้นช่วงนี้ดูเหมือนจะซึมๆ หรือบางช่วงก็ออกอาการ “ย่อตัว” ให้เห็นอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มใหญ่ๆ ซึ่งก็หนีไม่พ้นการพูดถึง ดัชนี SET100 (หรือที่บางทีเราก็เรียก set index 100 กัน) ว่ามันเป็นยังไงกันแน่ วันนี้ผมในฐานะคอลัมนิสต์สายเล่าเรื่องเงินๆ ทองๆ เลยอยากชวนทุกคนมาทำความเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะภาพรวมของดัชนีหลักๆ อย่าง SET Index และดัชนี SET100 แบบง่ายๆ สบายๆ เหมือนนั่งคุยกันจิบกาแฟครับ
ลองนึกภาพตามนะครับว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลาดหุ้นไทย) เนี่ยก็เหมือนตลาดสดใหญ่ๆ ที่มีร้านค้า (บริษัทจดทะเบียน) เยอะแยะไปหมด ส่วน SET Index ก็เหมือน “เทอร์โมมิเตอร์” ที่คอยบอกอุณหภูมิโดยรวมของตลาดนี้ ว่าวันนี้ร้อนแรง (บวก) หรือเย็นชา (ลบ) แค่ไหน ส่วน ดัชนี SET100 เนี่ย ก็เหมือนเรามาเจาะดูที่แผงผักผลไม้สดๆ ขนาดใหญ่ หรือร้านขายเนื้อเกรดพรีเมียมในตลาดสดนั้นแหละครับ คือเขาคัดเอาแต่ร้านใหญ่ๆ ดีๆ มา 100 ร้านแรก (หลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ มีสภาพคล่องสูง และคุณสมบัติตามเกณฑ์) มาดูกันว่าภาพรวมของร้านใหญ่ๆ พวกนี้เป็นยังไงบ้าง ซึ่งเจ้า ดัชนี SET100 เนี่ย เขาก็มีประโยชน์นะ ไม่ใช่แค่ดูเท่ๆ เพราะมันถูกใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงสำหรับการลงทุนต่างๆ หรือแม้กระทั่งเป็นพื้นฐานในการออกสินค้าทางการเงินที่ซับซ้อนขึ้น อย่างพวก ฟิวเจอร์ส (Futures) หรือ ออปชัน (Options) ในอนาคตด้วย
ทีนี้ มาดูตัวเลขล่าสุดที่เพิ่งเห็นมากันหน่อยนะครับ (ข้อมูล ณ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 16:51:51 น. สำหรับ SET และ 15 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 03:04:52 น. สำหรับ SET100 นะครับ ตัวเลขตลาดหุ้นมันขยับตลอดเวลา ตัวเลขที่คุณเห็นตอนนี้อาจจะไม่เหมือนกับที่ผมเห็นตอนที่เขียนเป๊ะๆ นะ) สำหรับ SET Index ล่าสุดอยู่ที่ 1,284.11 จุด เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยแค่ +0.14 จุด หรือ +0.01% ในวันนั้น เรียกว่าแทบไม่ขยับ เปิดตลาดมาที่ 1,287.16 จุด ระหว่างวันขึ้นไปสูงสุดที่ 1,298.72 จุด และลงไปต่ำสุดที่ 1,281.16 จุด วันนั้นมีการซื้อขายรวม 8,706.538 ล้านหุ้น มูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 53,123.74 ล้านบาท ก็ถือว่ามีกิจกรรมการซื้อขายอยู่พอสมควร

แต่พอมาดู ดัชนี SET100 ซึ่งโฟกัสไปที่หุ้นใหญ่ 100 ตัวแรกนี่สิครับ ตัวเลข ณ อีกช่วงเวลาหนึ่ง (15 กุมภาพันธ์ 2568) อยู่ที่ประมาณ 1,780.63 จุด แต่ที่น่าสังเกตคือมันมีการเปลี่ยนแปลงที่ติดลบครับ ลดลง 19.52 จุด หรือ -1.08% ในอีกข้อมูลอัปเดตย้อนไปหน่อย (14 กุมภาพันธ์ 2568) ก็ยังเห็นการเปลี่ยนแปลงเป็นบวกเล็กน้อย (+0.10%) ซึ่งความแตกต่างของตัวเลขและวันที่นี้แหละครับที่บอกเราว่า ตลาดมันมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลาจริงๆ การดูตัวเลขแค่จุดเดียวอาจไม่สะท้อนภาพรวมได้ทั้งหมด สำหรับวันที่ 15 กุมภาพันธ์นั้น SET100 เปิดที่ 1,803.97 จุด ขึ้นสูงสุดที่ 1,805.57 จุด ลงต่ำสุดที่ 1,776.80 จุด ปริมาณการซื้อขาย 2,200.184 ล้านหุ้น มูลค่าการซื้อขาย 45,234.63 ล้านบาท ก็จะเห็นว่ามูลค่าการซื้อขายในกลุ่ม SET100 ก็เยอะไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะเป็นหุ้นใหญ่ที่นักลงทุนให้ความสนใจ
ทีนี้ ถ้ามองย้อนหลังไปนานกว่าแค่หนึ่งวันล่ะ? ข้อมูลผลการดำเนินงานย้อนหลังจากแหล่งข้อมูลทางการเงิน (บางแหล่งอัปเดตล่าสุด 25 เมษายน 2568) บอกเราว่า ภาพรวมดูไม่ค่อยสดใสนักครับ สำหรับ SET Index เอง ย้อนหลัง 1 เดือนติดลบไป 5.19%, 6 เดือนติดลบ 1.05%, ตั้งแต่ต้นปี (YTD) ติดลบไปถึง 8.29%, ย้อนหลัง 1 ปีติดลบ 7.73%, และย้อนหลัง 5 ปีติดลบถึง 16.22% เลยทีเดียว! นี่คือภาพรวมของตลาดทั้งตลาดที่บ่งชี้ว่าช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงขาลงพอสมควร
ส่วน ดัชนี SET100 เองก็ไม่ต่างกันครับ แม้ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 25 เมษายน 2568 จะเห็นว่าเปลี่ยนแปลงล่าสุดเป็นบวก 1.21% แต่ถ้ามองย้อนหลังไป 1 เดือนติดลบ 2.07%, 3 เดือนติดลบหนักถึง 15.99%, 6 เดือนติดลบไป 21.53%, และย้อนหลัง 1 ปีติดลบ 13.80% โอ้โห! ตัวเลขเหล่านี้ยืนยันชัดเจนว่า หุ้นใหญ่ 100 ตัวแรกของไทย หรือ set index 100 เนี่ย ก็ได้รับผลกระทบจากภาวะตลาดที่ไม่เป็นใจในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเช่นกัน ในช่วง 52 สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี SET100 เคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 1,439.14 จุด ถึง 2,096.93 จุด ซึ่งตัวเลขล่าสุดที่เห็น (1,780 หรือ 1,802 จุด) ก็อยู่ในช่วงกึ่งกลางค่อนไปทางล่างๆ ของช่วงนี้
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ? ก็มีหลายปัจจัยที่นักวิเคราะห์และข่าวสารต่างๆ พูดถึงครับ บางส่วนมองว่าเป็นเรื่องของ “ภาวะปรับฐาน” (Correction) ของตลาดหุ้นทั่วโลก หลังจากที่บางตลาดปรับตัวขึ้นไปค่อนข้างแรงในช่วงก่อนหน้า เหมือนวิ่งมาราธอนแล้วต้องขอพักเหนื่อยบ้าง ข่าวสารที่เกี่ยวข้องก็มีพูดถึงปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน อย่างเช่น การเคลื่อนไหวเรื่องภาษีในสหรัฐฯ ที่ส่งผลต่อตลาดหุ้น พันธบัตร และค่าเงินดอลลาร์ หรือบทวิเคราะห์ที่ชี้ว่าตลาดหุ้นบางแห่งมีราคาค่อนข้างสูงแล้ว ก็อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดแรงขายทำกำไรออกมา นอกจากนี้ จากการสรุปตัวชี้วัดทางเทคนิคสำหรับ ดัชนี SET100 ก็พบว่า ส่วนใหญ่ให้สัญญาณไปทาง “เป็นกลาง” (Neutral) หรือ “ขาย” (Sell) ซึ่งก็เป็นอีกสัญญาณที่นักลงทุนสายเทคนิคใช้ประกอบการตัดสินใจว่าตลาดช่วงนี้ยังไม่น่าไว้ใจนักครับ

แล้วเจ้า ดัชนี SET100 เนี่ย มันเลือกหุ้นเข้ามาคำนวณยังไง ทำไมถึงมีหุ้นพวกนี้อยู่? อันนี้เป็นข้อมูลพื้นฐานที่น่ารู้ไว้ครับ การคำนวณ ดัชนี SET100 (รวมถึง SET50) เนี่ย เขาไม่ได้สุ่มเลือกมานะครับ แต่มีเกณฑ์ชัดเจน โดยคัดเลือกจาก 100 อันดับแรกของหลักทรัพย์ในตลาด SET ที่มีอะไรบ้าง? อย่างแรกคือ มี มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) สูงๆ พูดง่ายๆ คือเป็นบริษัทใหญ่ๆ นั่นแหละครับ สองคือ มี สภาพคล่อง (Liquidity) ในการซื้อขายสูง คือมีคนซื้อขายหุ้นตัวนี้เยอะ ไม่ใช่หุ้นนิ่งๆ สามคือ เป็นไปตามข้อกำหนดการกระจายหุ้นให้ ผู้ถือหุ้นรายย่อย (Minor Shareholders) คือหุ้นไม่ได้กระจุกตัวอยู่แค่ในกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่กี่คนมากเกินไป
วิธีการคำนวณก็เหมือน SET Index เลยครับ คือใช้แบบ ถ่วงน้ำหนัก (Weighted) ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หมายความว่า หุ้นตัวไหนที่บริษัทใหญ่มากๆ มีมูลค่าตลาดรวมสูงๆ หุ้นตัวนั้นก็จะส่งผลต่อการขึ้นลงของ ดัชนี SET100 มากกว่าหุ้นตัวเล็กๆ ในกลุ่ม 100 ตัวนี้ครับ เขาเริ่มคำนวณ SET100 มาตั้งแต่ วันฐาน (Base Date) 30 เมษายน 2548 โดยกำหนดค่าเริ่มต้นไว้ที่ 1000 จุด ส่วน SET50 เริ่มมาก่อน ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2538 ที่ 1000 จุดเหมือนกัน
ที่สำคัญคือ รายชื่อหุ้นใน ดัชนี SET100 ไม่ได้ตายตัวนะครับ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีการ ทบทวนรายชื่อหลักทรัพย์ (Review) ทุกๆ 6 เดือน คือช่วงเดือนธันวาคมและเดือนมิถุนายนของทุกปี เพื่อดูว่ามีบริษัทไหนที่ใหญ่ขึ้น สภาพคล่องดีขึ้น จนเข้าเกณฑ์ หรือมีบริษัทไหนที่เล็กลง คุณสมบัติไม่ถึงเกณฑ์ ก็จะมีการปรับเปลี่ยนรายชื่อ ซึ่งรายชื่อใหม่จะมีผลบังคับใช้ในวันทำการแรกของเดือนมกราคมและกรกฎาคมของทุกปีครับ ถ้ามีหุ้นที่ถูกถอดออก ก็จะมีหุ้นใหม่เข้ามาแทน และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ เกี่ยวกับหุ้น เช่น การ แปลงสภาพหุ้นกู้ (Conversion), การใช้สิทธิ ใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrants), หรือ การเพิ่มทุน (Capital Increase) ที่ส่งผลต่อมูลค่าตลาด เขาก็จะมีการปรับปรุงค่าดัชนีด้วยครับ
นอกจาก SET และ ดัชนี SET100 แล้ว ตลาดหุ้นไทยก็ยังมีดัชนีอื่นๆ อีกมากมายให้ติดตามนะครับ เช่น SET50 (50 อันดับแรก), mai (ตลาดสำหรับธุรกิจขนาดกลางและเล็ก), SETHD (หุ้นปันผลสูง), SETESG (หุ้นที่ดำเนินธุรกิจด้าน ESG) เป็นต้น การมีดัชนีหลายๆ แบบก็ช่วยให้นักลงทุนเลือกโฟกัสไปที่กลุ่มหุ้นที่สนใจได้ง่ายขึ้นครับ ในส่วนของหุ้นใหญ่ๆ ที่อยู่ใน ดัชนี SET100 นั้น ก็มักจะเป็นหุ้นชื่อคุ้นหูที่เราเห็นในชีวิตประจำวันนี่แหละครับ อย่างที่อยู่ใน SET50 ก็มีตัวอย่างเช่น ADVANC, AOT, AWC, BANPU, BBL, BDMS, BEM, BGRIM, BH, BTS เป็นต้น ซึ่งหุ้นเหล่านี้หลายๆ ตัวก็อยู่ใน SET100 ด้วยครับ
สรุปแล้ว สถานการณ์ของ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมองผ่าน ดัชนี SET และ ดัชนี SET100 ในช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน (กุมภาพันธ์ – เมษายน 2568 ตามข้อมูลที่มี) ยังคงแสดงให้เห็นถึงสภาวะที่ท้าทาย ตัวเลขผลตอบแทนย้อนหลังหลายช่วงเวลายังคงติดลบอยู่ แม้จะมีบางวันที่ดัชนีปรับตัวขึ้นบ้าง ซึ่งสถานการณ์นี้ได้รับอิทธิพลจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ประกอบกับสัญญาณทางเทคนิคที่ยังคงต้องระมัดระวังครับ
ดังนั้น สำหรับนักลงทุนทุกท่าน โดยเฉพาะคนที่สนใจลงทุนในหุ้นกลุ่มใหญ่ๆ หรือ ดัชนี SET100 เนี่ย การทำความเข้าใจกลไกของดัชนี และการติดตามข้อมูลทั้งตัวเลขและข่าวสารอย่างสม่ำเสมอเป็นเรื่องสำคัญมากครับ อย่าเพิ่งตกใจกับตัวเลขที่เห็นในระยะสั้นๆ จนเกินไป แต่ให้มองภาพใหญ่และแนวโน้มในระยะยาวประกอบด้วย การลงทุนในหุ้นหรือกองทุนที่อ้างอิง ดัชนี SET100 ก็คือการลงทุนในภาพรวมของบริษัทใหญ่ 100 แห่งแรกของไทยนั่นเองครับ
⚠️ **ข้อควรระวังและคำแนะนำเพิ่มเติม:** ตลาดหุ้นมีความผันผวนเสมอครับ ข้อมูลในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ และควรประเมินความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ หากสภาพคล่องทางการเงินไม่สูงมาก หรือเป็นเงินที่ต้องใช้ในระยะสั้น การนำมาลงทุนในหุ้นอาจมีความเสี่ยงสูงเกินไป ควรพิจารณาทางเลือกอื่นที่เหมาะสมกับสถานะทางการเงินและเป้าหมายการลงทุนของตัวเองก่อนนะครับ! ไม่ว่าตลาดจะเป็นยังไง การมีวินัยในการลงทุนและการบริหารความเสี่ยงที่ดี คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในระยะยาวเสมอครับ