SET100 ร่วง! หุ้นใหญ่พาลง หรือแค่พักยก?

เช้านี้หยิบมือถือขึ้นมาดูตลาดหุ้นไทย หลายคนอาจจะเห็นตัวเลขสีแดงๆ วาบๆ แล้วแอบใจแป้วไปบ้าง โดยเฉพาะใครที่กำลังจับตาดูความเคลื่อนไหวของ “ดัชนี SET100” อยู่เป็นพิเศษ เพราะเจ้าดัชนีตัวนี้เหมือนเป็นตัวแทนของบริษัทใหญ่ๆ ระดับแนวหน้า 100 แห่งในตลาดหุ้นบ้านเรา วันนี้ในฐานะเพื่อนนักลงทุนที่ชอบเอาเรื่องการเงินซับซ้อนมาเล่าให้ฟังแบบบ้านๆ เรามาดูกันว่าเกิดอะไรขึ้น และมันบอกอะไรกับเราบ้างค่ะ

ลองนึกภาพตามนะคะว่า ตลาดหุ้นก็เหมือนตลาดสดขนาดใหญ่ที่มีร้านค้ามากมาย ดัชนี SET100 ก็คือตะกร้าพิเศษที่คัดเอา “ร้านค้าเด่นๆ” 100 ร้านที่มีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูงมารวมไว้ การขึ้นลงของดัชนีตัวนี้เลยสะท้อนภาพรวมสุขภาพของบริษัทใหญ่ๆ เหล่านี้ได้เป็นอย่างดี ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 ดัชนี SET100 ปิดที่ 1,780.63 จุด ซึ่งลดลงไป 19.52 จุด หรือคิดเป็น -1.08% เลยทีเดียวค่ะ ตัวเลขนี้ค่อนข้างน่าสนใจ เพราะถ้าเทียบกับดัชนี SET ที่เป็นภาพรวมตลาดทั้งตลาด ที่เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ปิดบวกเล็กน้อยที่ 1,284.11 จุด (+0.01%) แม้จะเป็นข้อมูลคนละวัน แต่ก็พอเห็นภาพว่าในวันที่ 15 นั้น หุ้นตัวใหญ่ๆ ใน SET100 ดูเหมือนจะอ่อนแรงลงกว่าภาพรวมตลาด หรืออาจจะนำตลาดลงก็เป็นได้นะ มูลค่าการซื้อขายในวันนั้นก็สูงถึงกว่า 45,234 ล้านบาท บ่งบอกว่ามีการซื้อขายเปลี่ยนมือกันค่อนข้างคึกคัก

แล้วทำไมดัชนี SET100 ถึงได้ปรับตัวลดลงในวันนั้นล่ะ? มันมีปัจจัยอะไรมาเกี่ยวข้องบ้าง? อันนี้แหละที่เป็นเสน่ห์ของตลาดหุ้น ที่มันไม่ได้เคลื่อนไหวด้วยเหตุผลเดียวโดดๆ แต่มีหลายเรื่องผสมปนเปกันไปหมดค่ะ ถ้าเราลองไปดูข้อมูลดัชนีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอย่าง SET50 หรือ SET100FF (ซึ่งก็คือดัชนี SET100 ที่คำนวณแบบ Total Return) กลับพบว่าวันเดียวกัน (15 กุมภาพันธ์ 2568) ดัชนีเหล่านี้ปิดบวกเล็กน้อยนะ (+0.26% และ +0.060% ตามลำดับ) รวมถึง SETCLMV และ SETESG ที่ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยด้วย (+0.37% และ +0.076%) ตรงนี้อาจจะบอกได้ว่า แม้ SET100 โดยรวมจะติดลบ แต่ก็มีหุ้นบางกลุ่ม บางตัวในตะกร้านี้ที่ยังแข็งแกร่ง หรือมีแรงซื้อกลับเข้ามา พอมองลงไปดูรายตัวในกลุ่ม SET100 อย่างที่ข้อมูลให้มา ก็เห็นชัดเลยว่าการเคลื่อนไหวหลากหลายมาก

ขุนพลเอกอย่าง ปตท. (PTT) ที่อยู่ในกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ มีมูลค่าตลาดสูง และมีอิทธิพลต่อดัชนี SET100 มาก วันนั้นราคาปิดลบไปนิดหน่อย (-0.81%) เช่นเดียวกับ TRUE ในกลุ่มสื่อสาร (-0.83%) หรือหุ้นธนาคารใหญ่ๆ อย่าง SCB (-0.44%) และ KBANK (-0.67%) ที่ต่างก็อยู่ในกลุ่มการเงินซึ่งสำคัญต่อดัชนี ก็ปิดลบเหมือนกัน แต่ในอีกมุมหนึ่ง เราก็เห็นหุ้นที่ปรับตัวขึ้น เช่น DELTA (+0.74%) ในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และ CPALL (+1.01%) ในกลุ่มพาณิชย์ ขณะที่ ADVANC, AOT, และ PTTEP ก็ยืนราคาเดิมได้ ตรงนี้สะท้อนให้เห็นว่าแม้ภาพรวม SET100 จะแดง แต่ก็ไม่ใช่ทุกตัวที่จะลง มีบางตัวที่สวนกระแสขึ้นได้ หรือบางตัวก็ยังทรงตัวอยู่ได้ค่ะ

นอกจากปัจจัยภายในประเทศที่ว่ามาแล้ว ตลาดหุ้นไทย รวมถึงดัชนี SET100 ก็ได้รับอิทธิพลจากลมที่พัดมาจากต่างแดนด้วยนะ เหมือนเวลาเราไปยืนอยู่ริมทะเล แล้วคลื่นลูกใหญ่จากแดนไกลก็ซัดเข้ามาถึงฝั่งเรานั่นแหละค่ะ ข่าวสารตลาดหุ้นโลกในช่วงเวลานั้นมีความน่าสนใจปนเปกันไปหมด ยกตัวอย่างเช่น ข่าวจาก Yahoo Finance ที่พูดถึงความผันผวนของดัชนีสำคัญๆ ของสหรัฐฯ อย่าง ดาวโจนส์ (Dow Jones), S&P 500, และ แนสแด็ก (Nasdaq) ที่เกี่ยวเนื่องกับมาตรการภาษีของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งนโยบายภาษีของประเทศเศรษฐกิจใหญ่อย่างสหรัฐฯ นี่มีผลต่อเศรษฐกิจโลกและบรรยากาศการลงทุนโดยรวมมากๆ เลยค่ะ

ในขณะเดียวกัน ก็มีข่าวจาก Bloomberg.com ที่บอกว่าหุ้นและพันธบัตรปรับตัวขึ้น ส่วนค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง เพราะมีการเลื่อนมาตรการภาษีออกไป อันนี้ก็เป็นข่าวดีที่อาจจะช่วยพยุงตลาดได้ แต่ CNBC ก็เตือนให้ระวังด้วยข่าวเรื่อง “3 เหตุผลที่ทำให้เกิดการปรับฐานของตลาดหุ้น” ซึ่งบอกว่าครั้งนี้อาจจะมีเหตุผลอะไรที่แตกต่างออกไปก็ได้นะ ส่วน Barron’s ก็ตั้งคำถามชวนคิดว่า ตลาดหุ้นดูเหมือนจะราคาแพงแล้วนะ แล้วดัชนี S&P 500 จะยังขึ้นต่อไปได้ยังไง ตรงนี้ก็เป็นมุมมองที่สะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับมูลค่า (valuation) ของตลาดหุ้นในบางประเทศ ข่าวสารหลากหลายแบบนี้ทำให้นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิดจริงๆ ค่ะ

เมื่อมองออกไปดูตลาดหุ้นทั่วโลก ณ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 ก็เห็นภาพที่ผสมผสานเช่นกัน ตลาดหุ้นอเมริกาอย่าง S&P 500 (+0.50%), ดาวโจนส์ (+0.22%) และ แนสแด็ก (+0.87%) ต่างก็ปิดบวกกันอย่างสดใส ซึ่งอาจจะได้รับอานิสงส์จากข่าวเรื่องการเลื่อนมาตรการภาษีนั่นเอง แต่ฝั่งยุโรปก็มีทั้งบวกและลบ อย่าง ดัชนี DAX ของเยอรมนี (+1.73%) และ CAC 40 ของฝรั่งเศส (+1.41%) ที่บวกแรง แต่ FTSE 100 ของสหราชอาณาจักรกลับปิดลบ (-0.64%) ขณะที่ตลาดในเอเชียก็มีทั้งขึ้นทั้งลงเช่นกัน นิกเคอิ 225 ของญี่ปุ่นปิดบวก (+1.28%) แต่ฮั่งเส็งของฮ่องกง (-0.20%) และ SSE Composite ของจีน (-0.42%) กลับปิดลบ ภาพรวมตลาดโลกที่หลากหลายแบบนี้ส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในบ้านเราไม่มากก็น้อยค่ะ การที่ดัชนี SET100 ของเราปรับตัวลดลงในวันที่ตลาดอเมริกาบวก อาจจะบอกได้ว่ามีปัจจัยเฉพาะในบ้านเรา หรือแรงขายในหุ้นกลุ่มใหญ่บางตัวที่กดดันดัชนีให้ลงมากกว่าผลจากปัจจัยภายนอกในวันนั้นค่ะ

ทีนี้ ถ้าเราเป็นนักลงทุนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรมาก จะทำยังไงดีกับข้อมูลเหล่านี้ล่ะ? สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจว่า ดัชนี SET100 เป็นเพียงเครื่องมือชิ้นหนึ่งที่ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของหุ้นขนาดใหญ่ในตลาด การที่ดัชนีตัวนี้ขึ้นหรือลงในแต่ละวัน ไม่ได้หมายความว่าหุ้นทุกตัวในนั้นจะขึ้นหรือลงตามไปด้วยเสมอไป และการเคลื่อนไหวระยะสั้นๆ นี้ก็อาจจะมาจากปัจจัยชั่วคราวก็ได้

บางคนอาจจะคิดว่า “โห ดัชนี SET100 ลงมาแล้ว น่าจะถึงเวลาช้อนซื้อหุ้นใหญ่ๆ หรือเปล่า?” ตรงนี้ต้องบอกว่า การตัดสินใจลงทุนต้องพิจารณาอย่างรอบคอบนะคะ ไม่ใช่แค่ดูว่าดัชนีลงแล้วจะรีบเข้าซื้อทันที เราต้องมองปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น แนวโน้มเศรษฐกิจโดยรวมของไทยและของโลก ผลประกอบการของบริษัทที่เราสนใจ นโยบายภาครัฐ และข่าวสารต่างๆ ที่เข้ามา

เหมือนเวลาเราจะซื้อของเข้าบ้าน เราไม่ได้ดูแค่ว่า “วันนี้ราคาถูก” แล้วซื้อเลย แต่เราต้องดูว่า ของนั้นเราจำเป็นต้องใช้ไหม คุณภาพเป็นยังไง มีของที่ดีกว่าในราคาใกล้เคียงกันไหม แล้วเรามีเงินพอซื้อโดยไม่กระทบค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่นหรือเปล่า การลงทุนในหุ้นก็คล้ายๆ กันค่ะ

สุดท้ายนี้ การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนค่ะ ข้อมูลที่เราเห็นในแต่ละวันเป็นเพียงภาพ snapshot ณ เวลานั้นๆ เท่านั้น อย่าให้ตัวเลขสีแดงหรือสีเขียวในแต่ละวันมาทำให้เราตื่นตระหนกหรือดีใจจนเกินไปนะคะ สิ่งสำคัญคือการมีแผนการลงทุนที่ชัดเจน ศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน และกระจายความเสี่ยงค่ะ ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติของตลาดและลงทุนอย่างมีสติ ไม่ว่าจะเจอวันที่ดัชนี SET100 ผันผวนแค่ไหน เราก็จะรับมือกับมันได้อย่างมั่นใจมากขึ้นค่ะ

Leave a Reply