
เคยไหมครับ เวลาเปิดดูข่าวหุ้น แล้วเห็นตัวเลขวิ่งๆ เขียวๆ แดงๆ บนหน้าจอ แล้วมีคำว่า SET Index อยู่ข้างบนสุด นั่นแหละครับ คือดัชนีหลักที่สะท้อนภาพรวมตลาดหุ้นไทย
แต่รู้ไหมว่า ในตลาดหุ้นไทยที่ใหญ่ยักษ์นี้ ยังมี “ดัชนีตัวแทน” ที่สำคัญมากๆ อีกสองตัว ที่นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้เป็นเข็มทิศในการเดินทาง นั่นก็คือ “ดัชนี SET50” และ “ดัชนี SET100”
คุณอาจจะสงสัยว่า หุ้น set 50 คืออะไรกันแน่? ทำไมถึงสำคัญ? แล้วมันต่างจากหุ้นตัวอื่นๆ ทั่วไปยังไง? วันนี้ผมในฐานะคนคุ้นเคยกับตลาดหุ้น จะมาเล่าให้ฟังแบบย่อยง่ายๆ สไตล์เพื่อนคุยกันครับ
**รู้จักกับ “หัวกะทิ” แห่งตลาดหุ้นไทย: ดัชนี SET50 และ SET100**
ลองนึกภาพตามนะครับ ตลาดหุ้นไทยก็เหมือนโรงเรียนใหญ่ๆ ที่มีนักเรียน (บริษัทจดทะเบียน) เป็นร้อยๆ เป็นพันๆ คน ทีนี้ทางโรงเรียนก็อยากมีตัวแทนนักเรียนที่เก่งๆ เด่นๆ หน่อย เพื่อสะท้อนภาพรวมความสามารถของนักเรียนทั้งโรงเรียน
ดัชนี SET50 ก็เปรียบเสมือน “หัวหน้าห้อง” หรือ “ตัวแทนนักเรียนยอดเยี่ยม” 50 คนแรก ที่ถูกคัดเลือกมาจากนักเรียนทั้งหมด โดยใช้เกณฑ์หลักๆ คือ ความใหญ่ของบริษัท (มูลค่าตลาด) และความคึกคักในการซื้อขายหุ้น (สภาพคล่อง) พูดง่ายๆ คือ เป็นหุ้นของบริษัทชั้นนำ 50 อันดับแรกของประเทศนั่นเอง ซึ่งรายชื่อ 50 ตัวนี้จะมีการทบทวนและปรับเปลี่ยนทุก 6 เดือนนะครับ ใครฟอร์มดีขึ้นก็อาจจะได้เข้า ใครฟอร์มดร็อปลงก็อาจจะต้องออกไป
ส่วนดัชนี SET100 ก็คล้ายๆ กันครับ แต่ขยายขอบเขตไปอีกหน่อย เป็นการรวมตัวแทน 100 คนแรก นั่นหมายความว่า SET100 จะรวมหุ้น 50 ตัวใน SET50 ไว้ด้วย แล้วก็เพิ่มอีก 50 ตัวที่อยู่ในกลุ่มถัดมาเข้ามา ซึ่งหุ้นใน SET100 ก็ยังถือว่าเป็นหุ้นขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องดีอยู่ครับ แค่ไม่ได้ใหญ่เท่า 50 อันดับแรกเป๊ะๆ
แล้วการคำนวณดัชนีพวกนี้ล่ะ? เขาไม่ได้เอาแค่ราคาหุ้นมาบวกกันตรงๆ นะครับ เขาจะใช้ “วิธีคำนวณแบบถัวเฉลี่ยด้วยมูลค่าตลาด” (Market Capitalization Weighted) หมายความว่า ถ้าหุ้นตัวไหนมีมูลค่าตลาดรวมสูงๆ หุ้นตัวนั้นก็จะมีน้ำหนักในการคำนวณดัชนีมาก ถ้าหุ้นตัวใหญ่ขึ้นหรือลงเยอะๆ ดัชนีก็จะขยับตามไปเยอะกว่าหุ้นตัวเล็กๆ ที่ขึ้นลงเท่ากันครับ เหมือนหัวหน้าห้องที่คะแนนเยอะๆ ก็มีสิทธิ์มีเสียงในการตัดสินใจมากกว่าเพื่อนๆ ทั่วไปนั่นแหละครับ
**ทำไม หุ้น SET50 ถึงเป็นที่จับตาของนักลงทุน?**
นี่คือเหตุผลที่ หุ้น set 50 คือกลุ่มที่นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติให้ความสนใจเป็นพิเศษครับ:
1. **เป็นเครื่องมือดูแนวโน้มตลาด:** การขึ้นลงของดัชนี SET50 หรือ SET100 มันเหมือนเป็นตัวบอกอารมณ์ของตลาดหุ้นโดยรวมเลยครับ ถ้าดัชนีพวกนี้ขึ้นแรงๆ ก็แปลว่าภาพรวมตลาดกำลังคึกคัก นักลงทุนเชื่อมั่นในเศรษฐกิจและบริษัทใหญ่ๆ แต่ถ้าดัชนีลงหนักๆ ก็อาจจะสะท้อนความกังวลหรือปัจจัยลบต่างๆ ได้

2. **ไกด์ไลน์ในการเลือกหุ้น:** สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่รู้จะเริ่มตรงไหน หรืออยากได้หุ้นที่ค่อนข้างมั่นคง การดูรายชื่อหุ้นใน SET50 หรือ SET100 ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีครับ เพราะหุ้นพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ มีผลประกอบการที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ มีประวัติยาวนาน และที่สำคัญคือมีสภาพคล่องสูง ซื้อขายง่าย ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีคนซื้อตอนเราอยากขาย
3. **ช่วยในการจัดการพอร์ต:** การมีหุ้นในกลุ่ม SET50 หรือ SET100 ติดพอร์ตไว้บ้าง ก็เหมือนกับการสร้างฐานที่มั่นคงให้กับพอร์ตของเราครับ ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่ง และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ค่อนข้างสม่ำเสมอในระยะยาว
ลองนึกภาพว่าคุณมีเงินก้อนหนึ่ง อยากลงทุนในหุ้น แต่ไม่รู้จะซื้อตัวไหนดี การเริ่มต้นดูจากรายชื่อ หุ้น set 50 คือทางเลือกที่หลายๆ คนใช้ เพราะอย่างน้อยๆ หุ้น 50 ตัวนี้ก็ผ่านการคัดกรองมาในระดับหนึ่งแล้วว่าเป็น “ตัวท็อป” ของตลาด
กลยุทธ์การลงทุนกับหุ้นกลุ่มนี้ก็มีหลากหลายครับ บางคนชอบแบบเน้น “ถือยาว” คือซื้อแล้วเก็บไปเรื่อยๆ กินปันผลไปพร้อมๆ กับการเติบโตของบริษัท บางคนก็ใช้การ “ซื้อเมื่อดัชนีปรับฐาน” คือรอช่วงที่ตลาดหุ้นโดยรวมหรือหุ้นกลุ่มนี้ย่อตัวลงมา แล้วค่อยเข้าซื้อเพื่อหวังทำกำไรเมื่อตลาดฟื้นตัว นอกจากนี้ การวิเคราะห์ทางเทคนิค (ดูกราฟ) และการติดตามข่าวสารปัจจัยพื้นฐานของบริษัทและภาพรวมเศรษฐกิจ ก็เป็นสิ่งจำเป็นควบคู่กันไปครับ
**ไม่ได้มีแค่หุ้น! ทางเลือกอื่นๆ ในการลงทุนที่อ้างอิง SET50**
ความสำคัญของ หุ้น set 50 คือมันไม่ได้จบแค่การซื้อขายตัวหุ้นตรงๆ ครับ แต่ดัชนีตัวนี้ยังถูกนำไปใช้อ้างอิงในเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย ทำให้เรามีทางเลือกในการลงทุนหรือเก็งกำไรได้หลากหลายรูปแบบขึ้นไปอีก เช่น:
1. **SET50 Index Futures (สัญญาซื้อขายล่วงหน้าอ้างอิง SET50):** อันนี้จะแอดวานซ์ขึ้นมาหน่อยครับ มันคือสัญญาที่เราตกลงจะซื้อหรือขายดัชนี SET50 ในอนาคตที่ราคาและเวลาที่กำหนด ข้อดีคือเราสามารถทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้น (เรียกว่า Long) และตลาดขาลง (เรียกว่า Short) และมันใช้เงินลงทุนเริ่มต้นน้อยกว่าการซื้อหุ้น SET50 ทั้ง 50 ตัวรวมกันเยอะมาก หรือที่เรียกว่ามี “Leverage” สูงนั่นเองครับ
เวลาคำนวณกำไรขาดทุน เขาจะนับเป็นจุดครับ โดย 1 จุดของดัชนี SET50 Futures จะมีค่าเท่ากับ 澳幣:200 บาท เช่น ถ้าคุณซื้อที่ 1,000 จุด แล้วไปขายที่ 1,020 จุด คุณก็ได้กำไร (1,020 – 1,000) x 200 = 4,000 บาท หรือถ้าคุณมองว่าดัชนีจะลง เลยตัดสินใจขาย (Short) ที่ 1,000 จุด แล้วพอลงจริง ไปซื้อคืนที่ 980 จุด คุณก็ได้กำไร (1,000 – 980) x 200 = 4,000 บาท เช่นกันครับ
แต่พึงระลึกเสมอว่า Leverage สูง ก็หมายถึงความเสี่ยงสูงตามไปด้วยนะครับ กำไรเยอะได้ ก็ขาดทุนเยอะได้เช่นกัน
2. **SET50 Index Options (สัญญาซื้อขายสิทธิอ้างอิง SET50):** อันนี้ซับซ้อนกว่า Futures ไปอีกขั้นครับ มันคือ “สิทธิ” ที่จะซื้อ (Call Option) หรือ “สิทธิ” ที่จะขาย (Put Option) ดัชนี SET50 ที่ราคาใดราคาหนึ่ง (เรียกว่า ราคาใช้สิทธิ) ภายในเวลาที่กำหนด
ผู้ซื้อ Option จะจ่ายเงินค่า “Premium” (ค่าจองสิทธิ) ให้กับผู้ขายครับ ข้อดีสำหรับผู้ซื้อคือ ถ้าตลาดไม่ไปตามที่เราคาด เราก็แค่เสียเงินค่า Premium ที่จ่ายไป แต่ถ้าตลาดไปตามที่เราคาด เราก็ได้กำไรเยอะเลย ส่วนผู้ขาย Option จะได้รับเงิน Premium แต่ต้องแบกรับภาระผูกพัน ถ้าตลาดไปในทิศทางตรงข้ามอย่างรุนแรง ผู้ขายอาจขาดทุนได้ไม่จำกัดครับ
ตัวอย่างกำไรก็คล้ายๆ Futures ครับ เช่น ซื้อ Call Option อ้างอิง SET50 จ่าย Premium ไป 20 จุด (เท่ากับ 20 x 200 = 4,000 บาท) ถ้าดัชนี SET50 ขึ้นไปตามคาด ทำให้ราคา Premium ของ Option ตัวนั้นเพิ่มขึ้นเป็น 30 จุด แล้วเราขายออก เราก็จะได้กำไร (30 – 20) x 200 = 2,000 บาท (ยังไม่หักค่า Premium ที่จ่ายไปตอนแรกนะครับ อันนี้คือกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของ Premium)
3. **SET50 DW (ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์อ้างอิง SET50):** อันนี้หลายคนน่าจะคุ้นเคยกว่า Futures หรือ Options เพราะซื้อขายง่ายเหมือนหุ้นตัวหนึ่งเลยครับ แต่จริงๆ แล้ว DW (หรือ Derivative Warrant) มันคือเครื่องมือที่ให้สิทธิในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงในอนาคตที่ราคาและเวลาที่กำหนด ซึ่ง SET50 DW ก็อ้างอิงกับดัชนี SET50 นี่แหละครับ

ส่วนใหญ่ SET50 DW ที่นิยมซื้อขายกันจะไม่ได้อ้างอิงกับดัชนี SET50 ตรงๆ แต่จะไปอ้างอิงกับ SET50 Futures ซีรีส์ที่ใกล้จะหมดอายุแทนครับ ข้อดีของการอ้างอิง Futures คือราคา DW จะเคลื่อนไหวแบบ Real-Time ตาม Futures ที่ซื้อขายในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าจริงๆ ทำให้สะท้อนมุมมองของนักลงทุนได้ดีกว่า และไม่ต้องกังวลเรื่องผลกระทบจากเรื่อง XD (วันที่ผู้ซื้อหุ้นไม่มีสิทธิได้รับเงินปันผล) เหมือน DW ที่อ้างอิงหุ้นโดยตรงครับ DW มีทั้งแบบ Call DW (เก็งว่าดัชนีจะขึ้น) และ Put DW (เก็งว่าดัชนีจะลง)
4. **กองทุนรวม SET50 Index Fund:** สำหรับนักลงทุนที่ไม่ถนัดซื้อขายหุ้นรายตัว หรืออนุพันธ์ที่ซับซ้อน การลงทุนในกองทุนรวม SET50 Index Fund ก็เป็นทางเลือกที่ง่ายมากๆ ครับ กองทุนประเภทนี้จะมีนโยบายไปลงทุนใน หุ้น set 50 คือกลุ่มเดียวกับที่อยู่ในดัชนีเลย ทำให้ผลตอบแทนของกองทุนมีแนวโน้มที่จะวิ่งตามผลตอบแทนของดัชนี SET50 อย่างใกล้ชิดครับ
ข้อดีคือกองทุนประเภทนี้มักจะมีค่าธรรมเนียมการจัดการที่ต่ำกว่ากองทุนหุ้นทั่วไป เพราะผู้จัดการกองทุนไม่ต้องมานั่งเลือกหุ้นเองแค่ลงทุนตามดัชนี และช่วยกระจายความเสี่ยงไปในหุ้น 50 ตัวชั้นนำได้โดยที่เราไม่ต้องใช้เงินเยอะมากๆ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการลงทุนระยะยาวในหุ้นขนาดใหญ่และรับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูงนิดหน่อย (ส่วนใหญ่จะจัดอยู่ในระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ครับ)
**สรุปส่งท้าย: SET50/SET100 สนามเด็กเล่นสำหรับนักลงทุนทุกระดับ?**
จะเห็นได้ว่า ดัชนี SET50 และ SET100 ไม่ใช่แค่ตัวเลขที่วิ่งอยู่บนหน้าจอเฉยๆ แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำความเข้าใจตลาดหุ้นไทย เป็นไกด์ไลน์ในการเลือกหุ้น และเป็นสินทรัพย์อ้างอิงสำหรับเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น หุ้น set 50 คือตัวหุ้นเอง หรือจะเป็นอนุพันธ์อย่าง Futures, Options, DW หรือแม้แต่กองทุนรวม
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ การเริ่มศึกษาจาก หุ้น set 50 คืออะไร มีตัวไหนบ้าง แล้วลองลงทุนผ่านกองทุนรวม SET50 Index Fund ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีครับ เพราะเข้าใจง่าย ความเสี่ยงกระจายตัว
ส่วนนักลงทุนที่มีประสบการณ์มากขึ้น หรือรับความเสี่ยงได้สูง ก็อาจจะสนใจเครื่องมืออย่าง SET50 Index Futures หรือ DW เพื่อใช้ในการเก็งกำไรระยะสั้น หรือบริหารความเสี่ยงในพอร์ตได้
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคุณจะเลือกเครื่องมือไหนก็ตามที่อ้างอิงกับ SET50 หรือ SET100 สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “การศึกษา” ครับ ทำความเข้าใจกลไกของเครื่องมือแต่ละแบบ ข้อดีข้อเสีย ความเสี่ยง และติดตามข่าวสารปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อดัชนีอย่างสม่ำเสมอ
⚠️ **คำเตือนสำคัญ:** การลงทุนในตลาดหุ้นรวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่อ้างอิงกับดัชนี SET50/SET100 มีความผันผวนและมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน และควรลงทุนด้วยเงินที่พร้อมจะสูญเสียได้ทั้งหมดนะครับ อย่าเอาเงินร้อน เงินที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน หรือเงินเก็บทั้งหมดมาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงแบบนี้นะครับ
ขอให้ทุกคนโชคดีกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยครับ!