เคยสงสัยไหมว่า เวลาดูข่าวเศรษฐกิจ แล้วเห็นตัวเลขดัชนีหุ้นไทยวิ่งขึ้นลง หรือเห็นชื่อบริษัทที่เราคุ้นเคยปรากฏอยู่บนหน้าจอ นั่นกำลังบอกอะไรเราอยู่? โดยเฉพาะคำว่า “SET100” ที่ได้ยินบ่อยๆ มันสำคัญยังไง แล้ว หุ้น ราย ชื่อ หุ้น set100 เนี่ย มีตัวไหนน่าจับตาบ้าง? วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องนี้แบบสบายๆ เข้าใจง่าย เหมือนนั่งจิบกาแฟคุยกันเรื่องลงทุนกันเลย

ลองจินตนาการว่า ตลาดหุ้นไทย หรือ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เนี่ย เหมือนเป็นตลาดใหญ่ๆ ที่รวบรวมบริษัทดีๆ ของประเทศไว้เต็มไปหมด ทีนี้เราจะรู้ได้ไงว่าตลาดโดยรวมเป็นยังไง หรือบริษัทไหนเด่นๆ บ้าง? เขาก็เลยมี “ดัชนี” ขึ้นมาเป็นตัววัดผล
มีหลายดัชนีเลยนะ เช่น
* SET: อันนี้ใหญ่สุด รวมหุ้นทั้งหมดในตลาดเลย
* SET50: คัดมา 50 บริษัทที่ใหญ่ที่สุด มีสภาพคล่องสูง ซื้อขายง่าย
* SET100: นี่แหละพระเอกของเราวันนี้! คัดมา 100 บริษัทที่ใหญ่รองลงมาจาก SET50 มีสภาพคล่องดีเหมือนกัน พูดง่ายๆ คือเป็น “ตัวท็อป” ระดับกลางถึงใหญ่ 100 อันดับแรกของตลาด
* ยังมีดัชนีอื่นๆ อีกนะ อย่าง SETHD (เน้นหุ้นปันผลสูง), SETESG (เน้นบริษัทที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล), SETWB (หุ้นที่ต่างชาติสนใจ) พวกนี้ก็มีวัตถุประสงค์ต่างกันไป
สำหรับนักลงทุนหลายๆ คน โดยเฉพาะกองทุนรวม หรือนักลงทุนสถาบัน มักจะใช้ดัชนี SET50 และ SET100 เป็นเกณฑ์อ้างอิงในการลงทุน เพราะหุ้นในดัชนีเหล่านี้มักเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานดี มีข้อมูลให้อ้างอิงเยอะ การเปลี่ยนแปลงใน ราย ชื่อ หุ้น set100 เลยมักเป็นที่สนใจ เพราะหมายความว่าอาจจะมีหุ้นน้องใหม่ไฟแรงเข้ามาร่วมวง หรือหุ้นเก่าที่อาจจะฟอร์มแผ่วลงไปบ้างถูกคัดออกไป
แล้วไอ้ ราย ชื่อ หุ้น set100 นี่มันเปลี่ยนบ่อยไหม? ไม่ได้เปลี่ยนทุกวันครับ แต่จะมีการทบทวนทุกๆ 6 เดือน คือช่วงต้นปี (ใช้สำหรับครึ่งปีแรก) กับช่วงกลางปี (ใช้สำหรับครึ่งปีหลัง) การคาดการณ์ว่าหุ้นตัวไหนจะเข้าจะออกนี่แหละที่เป็นสีสันอย่างหนึ่งในตลาดหุ้น เพราะมันส่งผลต่อราคาหุ้นได้เหมือนกัน

อย่างข้อมูลที่เราเห็นล่าสุด (ข้อมูล ณ วันที่ 19 เมษายน 2568 ซึ่งตลาดปิดทำการไปแล้ววันนั้น) ตลาดโดยรวมก็มีการซื้อขาย มูลค่า 23,334.49 ล้านบาท ถือเป็นภาพ snapshot ของวันนั้น แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือการคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต
มีบทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ต่างๆ ออกมาเรื่อยๆ อย่างล่าสุด บล. กรุงศรี เขาก็ออกมาคาดการณ์ ราย ชื่อ หุ้น set100 และ SET50 รอบใหม่ (สำหรับครึ่งปีแรกของปี 2568) ว่าจะมีหุ้นตัวไหนมีโอกาสเข้าบ้าง ตัวที่ถูกคาดการณ์ว่าจะได้เข้า SET50 ก็อย่างเช่น BANPU, SAWAD, COM7, CCET ส่วนตัวที่คาดว่าจะได้เข้า SET100 ก็มี JTS, CCET, PR9, COCOCO เป็นต้น
ทำไมนักลงทุนถึงสนใจเรื่องนี้? ลองคิดดูนะ สมมติว่ากองทุนรวมใหญ่ๆ ที่เน้นลงทุนตามดัชนี SET100 ถ้ามีหุ้นตัวใหม่เข้า ราย ชื่อ หุ้น set100 กองทุนเหล่านี้ก็จะต้องเข้าซื้อหุ้นตัวนั้นเพื่อให้สัดส่วนการลงทุนตรงกับดัชนี ซึ่งแรงซื้อจำนวนมากนี้ก็อาจจะทำให้ราคาหุ้นตัวนั้นปรับตัวขึ้นได้ ในทางกลับกัน ถ้าหุ้นตัวไหนถูกคัดออก กองทุนเหล่านี้ก็ต้องขายออก ซึ่งอาจจะกดดันราคาหุ้นตัวนั้นได้เหมือนกัน
นี่เลยเป็นที่มาของกลยุทธ์ “เก็งกำไรหุ้นเข้าดัชนี” คือการเข้าไปซื้อหุ้นที่คาดว่าจะมีชื่ออยู่ใน ราย ชื่อ หุ้น set100 หรือ SET50 รอบใหม่ ก่อนที่การประกาศรายชื่อจริงจะออกมา หรือก่อนที่กองทุนจะเริ่มปรับพอร์ต ซึ่งบทวิเคราะห์หลายๆ ที่ก็แนะนำกลยุทธ์นี้ โดยยกตัวอย่างหุ้นอย่าง SAWAD หรือ BANPU ที่นอกจากจะถูกคาดว่าจะได้เข้าดัชนีแล้ว ยังมีปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ สนับสนุนด้วย (อันนี้ต้องไปศึกษาเพิ่มเติมนะว่าพื้นฐานดีคืออะไรบ้าง)
แต่แน่นอนว่ามันก็มีความเสี่ยง เพราะเป็นการคาดการณ์ ไม่ใช่การฟันธง 100% ถ้าคาดผิด หรือมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามากระทบ ราคาก็อาจจะไม่เป็นไปตามที่คาดก็ได้
นอกเหนือจากการดูว่าหุ้นตัวไหนจะเข้าจะออก ราย ชื่อ หุ้น set100 แล้ว เรายังต้องดู “พื้นฐาน” ของหุ้นแต่ละตัวด้วยนะ ในกลุ่ม SET100 เนี่ยมีบริษัทใหญ่ๆ เพียบเลย อย่างตัวอย่างในกลุ่ม SET50 ซึ่งหลายตัวก็อยู่ใน SET100 ด้วย ก็มีตั้งแต่ PTT (บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่) ที่มีมูลค่าตลาดสูงลิ่ว ราคาหุ้น 31.00 บาท มีอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ที่ 9.83 เท่า และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Div yield) สูงถึง 6.83% อันนี้น่าสนใจสำหรับคนที่ชอบหุ้นปันผล

หรืออย่าง ADVANC (บริษัทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) ราคา 282 บาท P/E สูงขึ้นมาหน่อยที่ 23.91 เท่า Div yield 3.79% ก็เป็นอีกบริษัทใหญ่ในกลุ่มสื่อสาร
ส่วน DELTA (บริษัทเทคโนโลยี) อันนี้ราคาหุ้นค่อนข้างสูง 69.00 บาท P/E พุ่งไปถึง 45.45 เท่า แถม Div yield ค่อนข้างต่ำแค่ 0.70% แสดงว่านักลงทุนอาจจะมองว่าเป็นหุ้นเติบโตสูง ยอมจ่ายแพงเพื่อหวังการเติบโตในอนาคต ถึงแม้ว่าบางบทวิเคราะห์อาจจะให้เรตติ้ง “มีแรงขาย” ก็ตาม ก็เป็นอีกมุมมองที่ต้องพิจารณา
ยังมี AOT (บริษัทบริการเกี่ยวกับการบิน) CPALL (บริษัทพาณิชย์รายใหญ่) และอื่นๆ อีกมากมายในกลุ่ม SET100 ซึ่งแต่ละบริษัทก็มาจากหลากหลายหมวดธุรกิจ มีผลการดำเนินงาน มีแนวโน้ม มี P/E มี Div yield ที่แตกต่างกันไป การทำความเข้าใจตัวเลขเหล่านี้ (P/E บอกความถูกแพงเทียบกับกำไร, Div yield บอกว่าเราจะได้เงินปันผลคืนมาแค่ไหนเมื่อเทียบกับราคาหุ้น) ช่วยให้เราประเมินมูลค่าหุ้นได้เบื้องต้น
การที่เราไปดู ราย ชื่อ หุ้น set100 แล้วเลือกหุ้นมาศึกษาเนี่ย ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะอย่างน้อยก็เป็นหุ้นของบริษัทใหญ่ๆ มีชื่อเสียง มีข้อมูลให้ศึกษาค่อนข้างเยอะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นทุกตัวใน SET100 จะดีเสมอไป หรือราคาจะไม่ลงนะ เรายังต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ อีกเพียบ
ย้อนกลับไปดูภาพรวมตลาดเมื่อช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 (เป็นข้อมูลในอดีตที่น่าเรียนรู้) ตลาดหุ้นไทยเราตอนนั้นถือว่าปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าตลาดอื่นๆ ในภูมิภาคด้วยซ้ำ แต่ก็เริ่มมีสัญญาณว่าราคาหุ้นบางกลุ่มอาจจะปรับตัวสูงเกินปัจฐานไปแล้ว เหมือนกับว่านักลงทุนไล่ราคาจนแพงเกินไป ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าต้องระวัง
อย่างตอนนั้นก็มีหุ้นบางกลุ่ม บางตัว ที่ผลการดำเนินงานและราคาหุ้นเติบโตโดดเด่นมากๆ อย่างเช่นกลุ่ม PSL (ธุรกิจเดินเรือ) หรือ RBF (ธุรกิจผลิตส่วนผสมอาหาร) นี่ก็เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า แม้ตลาดใหญ่ๆ อย่าง SET หรือหุ้นใน ราย ชื่อ หุ้น set100 จะเป็นภาพรวม แต่หุ้นรายตัวที่มีปัจจัยเฉพาะตัวที่ดีก็สามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าทึ่งได้เหมือนกัน
ดังนั้น การติดตามข่าวสาร บทวิเคราะห์ การคาดการณ์ ราย ชื่อ หุ้น set100 และ SET50 ก็เป็นเรื่องน่าสนใจ แต่หัวใจสำคัญของการลงทุนในหุ้นก็ยังคงเป็นการศึกษาปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่เราจะลงทุน ดูผลประกอบการ ดูแนวโน้มอุตสาหกรรม ดูการบริหารงาน และที่สำคัญคือต้อง “กระจายความเสี่ยง” อย่าทุ่มเงินทั้งหมดไปที่หุ้นตัวเดียว หรือกลุ่มอุตสาหกรรมเดียว
การลงทุนมันก็เหมือนกับการเดินทางแหละครับ ตลาดหุ้นก็มีขึ้นมีลง มีวันที่สดใส มีวันที่ฝนตก การรู้เท่าทันข้อมูล เข้าใจเครื่องมือต่างๆ อย่างดัชนี SET100 และ ราย ชื่อ หุ้น set100 รวมถึงการประเมินมูลค่าหุ้นเบื้องต้น จะช่วยให้เราวางแผนการเดินทางในโลกการลงทุนได้มั่นคงขึ้น
⚠️ สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้เสมอ: การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงสูงมากนะครับ ราคาหุ้นมีความผันผวนสูงจากหลายปัจจัย ทั้งภาวะเศรษฐกิจ การเมือง ปัจจัยภายนอก หรือแม้แต่ข่าวสารต่างๆ คุณอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้ การซื้อขายด้วยมาร์จิน (ใช้เงินกู้ยืมจากโบรกเกอร์) ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงขึ้นไปอีก
ข้อมูลต่างๆ ที่เห็น ไม่ว่าจะเป็นราคาหุ้น หรือบทวิเคราะห์ อาจจะไม่ใช่ข้อมูลเรียลไทม์เสมอไป และถึงแม้จะเป็นเรียลไทม์ ราคาก็ยังผันผวนตลอดเวลา ไม่เหมาะกับการใช้เป็นข้อมูลเดียวในการตัดสินใจซื้อขายจริง การตัดสินใจลงทุนควรอยู่บนพื้นฐานของการศึกษาทำความเข้าใจความเสี่ยง วัตถุประสงค์การลงทุน และระดับประสบการณ์ของตัวคุณเอง หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง
โปรดจำไว้ว่า ข้อมูลที่ได้รับจากแหล่งต่างๆ รวมถึงบทความนี้ เป็นเพียงข้อมูลประกอบการศึกษาเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำให้ซื้อขายหุ้นตัวใดตัวหนึ่งโดยเฉพาะ ผู้จัดทำและผู้ให้ข้อมูลไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนของคุณ และห้ามนำข้อมูลไปทำซ้ำ ดัดแปลง หรือเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาตนะครับ
หากเงินทุนที่คุณพร้อมนำมาลงทุนเป็นเงินที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน หรือสภาพคล่องทางการเงินของคุณไม่ได้สูงมาก แนะนำให้ประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบก่อน และอาจเริ่มต้นจากการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนให้เหมาะสมกับสถานะทางการเงินของคุณที่สุดครับ