
ช่วงนี้เดินไปไหนมาไหนก็มักจะได้ยินคนพูดถึงเรื่องหุ้น เรื่องตลาดกันบ่อยๆ นะครับ บางทีก็ได้ยินคำว่า “เซต 50” หรือ “SET50” ลอยมาเข้าหู ไม่ว่าจะเป็นในข่าว ในวงสนทนา หรือแม้แต่บนโลกออนไลน์ อ่านแล้วก็อาจจะมีงงๆ กันบ้างว่า เอ๊ะ เจ้าคำนี้มันคืออะไรกันนะ แล้วมันสำคัญยังไงกับชีวิตเราบ้าง วันนี้ในฐานะเพื่อนที่พอจะคลุกคลีกับเรื่องการเงินมาบ้าง ขออาสาพาไปทำความรู้จักกับเจ้า เซต 50 และเรื่องราวรอบๆ ตัวมัน แบบเข้าใจง่ายๆ เหมือนนั่งคุยกันริมระเบียงเลยครับ
ลองนึกภาพตามนะครับ ตลาดหุ้นไทยเราเนี่ย เหมือนสนามฟุตบอลขนาดใหญ่ ที่มีทีมฟุตบอล (บริษัทจดทะเบียน) วิ่งเล่นอยู่เต็มไปหมดหลายร้อยทีมเลยครับ ทีนี้เวลาเราอยากรู้ว่าภาพรวมฟอร์มของสนามนี้เป็นยังไง เราจะไปนั่งดูทุกทีมพร้อมกันก็คงตาลายแย่ใช่ไหมครับ เราก็เลยมีตัวช่วยที่เรียกว่า “ดัชนี” (Index) ครับ เหมือนเป็นผู้บรรยายสรุปผลฟอร์มโดยรวมของสนามนั่นแหละ ดัชนีหลักๆ ที่คนพูดถึงกันบ่อยก็จะมี SET Index (ดัชนีเซต) ซึ่งสะท้อนภาพรวมของทุกทีมเกือบทั้งหมดในสนามครับ ส่วน เซต 50 Index (ดัชนีเซต 50) กับ SET100 Index (ดัชนีเซต 100) เนี่ย จะเป็นเหมือนการคัดเอาเฉพาะ “ทีมดาวเด่น” หรือทีมที่ฟอร์มดี มีคนสนใจเยอะๆ ในสนามมาดูครับ โดย เซต 50 ก็คือ 50 ทีมดาวเด่นแรก และ SET100 ก็คือ 100 ทีมดาวเด่นแรก นั่นเองครับ

แล้วทำไมต้องมี เซต 50 ล่ะ? ง่ายๆ เลยครับ 50 ทีมดาวเด่นพวกนี้เนี่ย มักจะเป็นบริษัทใหญ่ๆ ที่เราคุ้นชื่อกันดี มีการซื้อขายหุ้นกันคึกคักมากๆ หรือที่เรียกว่ามี “สภาพคล่อง” สูง ใครอยากซื้อก็ซื้อง่าย อยากขายก็ขายคล่อง เหมือนมีกองเชียร์เยอะ มีคนเตะบอลแย่งบอลกันตลอดเวลา การที่ดัชนี เซต 50 ขยับขึ้นหรือลงเนี่ย ก็มักจะสะท้อนถึงอารมณ์หรือทิศทางโดยรวมของตลาดหุ้นส่วนใหญ่ได้ค่อนข้างดีเลยครับ เพราะทีมใหญ่ๆ พวกนี้มีน้ำหนักต่อตลาดรวมเยอะ เหมือนกองหน้าตัวเก่งยิงประตูได้ ทีมก็มีโอกาสชนะสูงตามไปด้วยครับ การคัดเลือก 50 ทีมนี้ก็ไม่ได้ทำมั่วๆ นะครับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเขาจะมีเกณฑ์ชัดเจนครับ ดูจากขนาดของบริษัท (มูลค่าตลาดรวม) ดูจากสภาพคล่องการซื้อขาย และดูเงื่อนไขอื่นๆ เช่น ต้องไม่ใช่หุ้นที่ถูกพักการซื้อขายนานๆ ซึ่งการคัดเลือกหรือปรับรายชื่อ 5 ทีมดาวเด่นนี้ เขาจะทำกันทุกๆ 6 เดือนครับ ประมาณช่วงเดือนมิถุนายนกับเดือนธันวาคม เหมือนการประเมินผลงานนักเตะครึ่งฤดูกาลนั่นแหละครับ
ทีนี้มาดูข้อมูลล่าสุดกันหน่อยครับ จากข้อมูล ณ วันที่ 03 เมษายน 2568 เวลา 23:08:32 ตลาดหุ้นไทยปิดทำการไปแล้วนะครับ ดัชนี SET ล่าสุดอยู่ที่ 1,192.24 จุด เปลี่ยนแปลง +3.83 จุด หรือบวกไป 0.32% ส่วนพระเอกของเราวันนี้อย่าง ดัชนี เซต 50 เนี่ย ปิดที่ 758.13 จุด เปลี่ยนแปลง +2.75 จุด หรือบวกไป 0.36% ครับ ส่วน SET100 ก็ปิดบวกเช่นกันที่ 1,642.83 จุด เปลี่ยนแปลง +6.31 จุด หรือบวกไป 0.39% ครับ วันนี้ถือเป็นวันที่ตลาดปรับตัวขึ้นเล็กน้อยครับ ไม่ได้หวือหวามากนัก ปริมาณการซื้อขายรวมใน SET อยู่ที่ 1,119,086 พันหุ้น คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายรวม 5,003.17 ล้านบาท จำนวนหุ้นที่ขึ้นมี 188 ตัว ไม่เปลี่ยน 203 ตัว และลง 162 ตัวครับ ตัวเลขเหล่านี้เป็นเหมือนรายงานผลการแข่งขันประจำวัน บอกเราคร่าวๆ ว่าวันนี้ภาพรวมตลาดเป็นยังไง มีการซื้อขายคึกคักแค่ไหน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากแหล่งที่เชื่อถือได้เช่นตลาดหลักทรัพย์ฯ และผู้ให้บริการข้อมูลทางการเงินครับ
หลายคนอาจจะสงสัยว่า ดัชนีพวกนี้มันคำนวณยังไงให้ได้ออกมาเป็นตัวเลขจุดๆ แบบนี้? จริงๆ มันมีสูตรที่ซับซ้อนอยู่เบื้องหลังครับ แต่เอาแบบง่ายๆ เลยก็คือ เขาจะนำเอา “มูลค่าตลาดรวม” (Market Capitalization) ของหุ้นแต่ละตัวในกลุ่มนั้นๆ มาใช้ในการคำนวณครับ มูลค่าตลาดรวมก็คือราคาหุ้นปัจจุบันคูณด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดนั่นแหละครับ แล้วนำมารวมกันแบบ “ถ่วงน้ำหนัก” ตามขนาดของแต่ละบริษัท คือบริษัทใหญ่มากๆ ก็จะมีผลต่อการขยับของดัชนีเยอะกว่าบริษัทเล็กๆ ในกลุ่มเดียวกันครับ นอกจากนี้ ยังมีวิธีการคำนวณแบบที่เรียกว่า “ถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตามราคาตลาดที่ปรับด้วยสัดส่วนผู้ถือหลักทรัพย์รายย่อย” (Free Float Adjusted Market Capitalization Weight) ซึ่งจะพิจารณาเฉพาะหุ้นที่หมุนเวียนอยู่ในมือรายย่อยจริงๆ ด้วย เพื่อให้สะท้อนสภาพการซื้อขายในตลาดได้ดียิ่งขึ้น ดัชนี เซต 50 เริ่มคำนวณมาตั้งแต่ 16 สิงหาคม 2538 โดยกำหนดค่าเริ่มต้นไว้ที่ 1,000 จุด ส่วน SET100 เริ่มเมื่อ 30 เมษายน 2548 ที่ 1,000 จุดเช่นกันครับ ตัวเลขจุดเหล่านี้ไม่ใช่ราคาหุ้นนะครับ แต่เป็นค่าดัชนีที่ใช้เปรียบเทียบกับอดีต เพื่อดูแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงครับ

ทีนี้ เจ้าดัชนี เซต 50 เนี่ย นอกจากจะเป็นตัวบอกภาพรวมตลาดแล้ว ยังถูกนำไปใช้เป็น “สินทรัพย์อ้างอิง” ในการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ ด้วยครับ เหมือนเป็นดาราดังที่มีคนเอาไปต่อยอดทำสินค้าต่างๆ หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจและได้รับความนิยมก็คือ “สัญญาซื้อขายล่วงหน้าอ้างอิงดัชนี เซต 50” หรือที่เราเรียกสั้นๆ ว่า SET50 Index Futures (เซต 50 Index Futures) ครับ ฟังดูชื่อยากเนอะ แต่มันคืออะไรกัน?
ลองนึกภาพว่า เรากำลังดูการแข่งขันฟุตบอล แล้วเราไม่ได้แค่เชียร์เฉยๆ แต่เรา “ทำสัญญา” กับอีกคนหนึ่งว่า เราจะซื้อ “คะแนนสุดท้าย” ของการแข่งขันนี้ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ที่ราคาที่เราตกลงกันไว้ตอนนี้ ถ้าถึงวันนั้นจริงๆ คะแนนสุดท้ายสูงกว่าราคาที่เราตกลงไว้ คนที่ทำสัญญาซื้อกับเราก็จะจ่ายเงินส่วนต่างให้เราครับ แต่ถ้าคะแนนสุดท้ายต่ำกว่า เราก็ต้องจ่ายส่วนต่างให้เขา สัญญาซื้อขายล่วงหน้า เซต 50 ก็ประมาณนั้นแหละครับ เพียงแต่เราไม่ได้ซื้อขายหุ้นจริงๆ แต่เราซื้อขาย “สัญญา” ที่อ้างอิงกับ “ค่าดัชนี เซต 50” ในอนาคต เราทำสัญญาว่าจะซื้อหรือจะขายดัชนี เซต 50 ที่ระดับราคา (หรือระดับจุด) ที่ตกลงกันไว้ในอนาคตครับ
การซื้อขาย เซต 50 Index Futures เนี่ย เราสามารถทำกำไรได้ทั้งตอนที่ตลาดขาขึ้น และตอนที่ตลาดขาลงเลยครับ
* ถ้าเราคาดการณ์ว่า ดัชนี เซต 50 จะ “ขึ้น” ในอนาคต เราก็จะ “เปิดสถานะซื้อ” หรือที่เรียกว่า “เปิด Long” ครับ แล้วถ้าดัชนีขึ้นไปจริงๆ ตามที่เราคาด เราก็จะ “ปิดสถานะขาย” เพื่อรับกำไรส่วนต่างครับ
* แต่ถ้าเราคาดการณ์ว่า ดัชนี เซต 50 จะ “ลง” ในอนาคต เราก็สามารถ “เปิดสถานะขาย” หรือที่เรียกว่า “เปิด Short” ได้เลยครับ แล้วถ้าดัชนีลงไปจริงๆ ตามที่เราคาด เราก็จะ “ปิดสถานะซื้อ” เพื่อรับกำไรส่วนต่างครับ ตรงนี้แหละที่แตกต่างจากการซื้อขายหุ้นทั่วไป ที่เรามักจะทำกำไรได้เมื่อหุ้นราคาขึ้นอย่างเดียวครับ
ตัวสัญญาของ เซต 50 Index Futures มี “ตัวคูณสัญญา” อยู่ที่ 200 บาทต่อจุด หมายความว่า ถ้าดัชนี เซต 50 ขยับไป 1 จุด มูลค่าของสัญญาเราจะเปลี่ยนแปลงไป 200 บาทครับ สมมติเราเปิด Long ที่ 750 จุด แล้วดัชนีขึ้นไปปิดที่ 760 จุด เท่ากับดัชนีขึ้นไป 10 จุด เราก็จะได้กำไร (ก่อนหักค่าธรรมเนียม) 10 จุด * 200 บาท = 2,000 บาทต่อสัญญา แต่ในทางกลับกัน ถ้าเปิด Long ที่ 750 จุด แล้วดัชนีลงไปปิดที่ 740 จุด เท่ากับดัชนีลงไป 10 จุด เราก็จะขาดทุน 10 จุด * 200 บาท = 2,000 บาทต่อสัญญาเช่นกันครับ เห็นไหมครับว่าการเปลี่ยนแปลงของดัชนีเพียงเล็กน้อยก็มีผลต่อกำไรขาดทุนที่ค่อนข้างมากได้เลยครับ
การชำระราคาของ SET50 Index Futures จะเป็นแบบ “การชำระด้วยเงินสด” (Cash Settlement) ครับ คือเมื่อถึงวันหมดอายุสัญญา หรือเราปิดสถานะก่อนหมดอายุ เราจะไม่ได้ได้รับหุ้นหรือต้องไปส่งมอบหุ้นจริงๆ นะครับ แต่จะมีการคำนวณส่วนต่างกำไรหรือขาดทุน แล้วชำระกันด้วยเงินสดเท่านั้นครับ สัญลักษณ์ของสัญญาที่เราเห็นในโปรแกรมซื้อขายก็จะประมาณนี้ครับ S50 ตามด้วยตัวย่อเดือนที่หมดอายุ และปี เช่น S50H23 ก็คือสัญญา เซต 50 Index Futures ที่หมดอายุในเดือนมีนาคม (ตัวย่อ H) ปี 2023 (ย่อมาจาก 23) ครับ (ข้อมูลนี้อาจจะเก่าไปหน่อยในข้อมูลดิบ แต่ใช้ยกตัวอย่างสัญลักษณ์ได้ครับ ในปัจจุบันปีก็จะเปลี่ยนไป) การซื้อขายแบบนี้มีข้อดีคือ ใช้เงินลงทุนเริ่มต้น (หลักประกัน) น้อยกว่าการซื้อขายหุ้นจริงๆ มาก ทำให้เหมือนมีอำนาจในการซื้อขายสูงขึ้น แต่ก็ต้องระวังนะครับ เพราะอำนาจที่เพิ่มขึ้นนี้ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นตามไปด้วยครับ เหมือนการขี่มอเตอร์ไซค์ที่ไปได้เร็วกว่าเดิน แต่ถ้าล้มก็เจ็บหนักกว่ากันเยอะเลย
นอกจากดูตัวเลขดัชนีและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่าง เซต 50 Index Futures แล้ว นักลงทุนบางส่วนยังใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคต่างๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจด้วยครับ เช่น พวก Oscillators (ออสซิลเลเตอร์) หรือ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) ต่างๆ เครื่องมือเหล่านี้เหมือนเป็นเข็มทิศอีกอันที่ช่วยบอกทิศทางลมในตลาดครับ จากข้อมูลที่ให้มา ตัว Oscillators และ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ส่วนใหญ่ให้สัญญาณที่หลากหลายปะปนกันไป มีทั้งที่เป็นกลาง มีแรงขาย มีแรงซื้อ บางตัวก็แรงขายรุนแรง บางตัวก็แรงซื้อรุนแรง สรุปโดยรวมจากเครื่องมือเหล่านี้ในขณะนั้นจึงค่อนข้างเป็นกลาง หรือมีสัญญาณที่ขัดแย้งกันอยู่ครับ แปลว่าตลาดในช่วงนั้นยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจน หรือยังอยู่ในช่วงที่นักลงทุนยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปทางไหนดี ก็เหมือนกับตอนที่เราดูพยากรณ์อากาศ แล้วบางสำนักบอกฝนจะตก อีกสำนักบอกแดดออก เราก็อาจจะยังไม่แน่ใจว่าจะกางร่มดีไหมนั่นแหละครับ
อย่างไรก็ตามครับ สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องจำไว้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้นโดยตรง หรือการซื้อขายตราสารอนุพันธ์อย่าง เซต 50 Index Futures ก็คือ “การลงทุนมีความเสี่ยงสูง” ครับ คุณอาจสูญเสียเงินลงทุนไปทั้งหมดหรือบางส่วนได้เลย ไม่ใช่เครื่องมือที่เหมาะกับนักลงทุนทุกคนนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ยังไม่เข้าใจกลไกตลาด ไม่เข้าใจความเสี่ยง หรือมีเงินทุนจำกัดมากๆ
การซื้อขายแบบที่มีการใช้มาร์จิ้น (Margin) หรือใช้เงินหลักประกันในการซื้อขายอย่างในกรณีของฟิวเจอร์ส เนี่ย ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงเข้าไปอีกหลายเท่าตัวครับ เพราะถ้าตลาดไม่เป็นไปตามที่เราคาด การขาดทุนจะรวดเร็วและรุนแรงกว่ามากครับ เหมือนเรากู้เงินมาพนัน ถ้าชนะก็ได้เยอะ แต่ถ้าแพ้ก็เป็นหนี้ก้อนโตได้เลย
อีกเรื่องที่ต้องระวังคือ ข้อมูลราคาหรือข้อมูลดัชนีที่เราเห็นตามเว็บไซต์ต่างๆ หรือโปรแกรมเทรด อาจจะไม่ใช่ Real-time หรือแม่นยำ 100% นะครับ ส่วนใหญ่เป็นเพียงราคาชี้นำ (Indicative Price) เท่านั้น ไม่เหมาะกับการนำไปใช้อ้างอิงเพื่อตัดสินใจซื้อขายแบบแม่นยำวินาทีต่อวินาทีครับ และแหล่งข้อมูลต่างๆ รวมถึงตลาดหลักทรัพย์ฯ เอง ก็มักจะมีการแจ้งเตือนอยู่เสมอว่า เขาจะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆ ที่เกิดขึ้นจากการซื้อขายหรือการพึ่งพาข้อมูลเหล่านั้นโดยตรงนะครับ
นอกจากนี้ การใช้ข้อมูลดัชนีหรือข้อมูลตลาดต่างๆ ก็ต้องเคารพในสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญาด้วยนะครับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเขาเป็นเจ้าของสิทธิ์ในกลุ่มดัชนีหลักทรัพย์ (SET, SET50, SET100) การนำไปใช้ ทำซ้ำ หรือแจกจ่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตอาจถือเป็นการละเมิดได้ครับ ข้อมูลดัชนีเหล่านี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น ไม่ได้รับประกันว่าจะใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์เฉพาะ หรือรับประกันคุณภาพของข้อมูลนะครับ
ดังนั้นครับ ก่อนที่จะกระโดดเข้าไปในโลกของ เซต 50 หรือ เซต 50 Index Futures หรือเครื่องมือการลงทุนอื่นๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการ “ศึกษา” ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อนครับ ทำความเข้าใจว่ามันคืออะไร ทำงานยังไง มีความเสี่ยงแบบไหนบ้าง เงินลงทุนที่เราจะนำมาใช้ รับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าเสียไปทั้งหมดจะกระทบกับการใช้ชีวิตของเราไหม ลองเริ่มต้นจากสิ่งที่เราเข้าใจง่ายที่สุดก่อน ค่อยๆ ศึกษาไปทีละขั้นทีละตอน จะลงทุนในหุ้นตัวเล็กๆ ที่เราเข้าใจธุรกิจก่อนก็ได้ หรือจะลองลงทุนผ่านกองทุนรวมที่อ้างอิงดัชนี เซต 50 เพื่อให้ผู้จัดการกองทุนมืออาชีพช่วยบริหารให้ดูก่อนก็ได้ครับ
สรุปแล้ว เซต 50 ก็คือดัชนีชี้วัดฟอร์มโดยรวมของ 50 ทีมดาวเด่นในตลาดหุ้นไทย เป็นเหมือนหัวใจสำคัญที่สะท้อนภาพรวมตลาดได้ดี และถูกนำไปต่อยอดเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ซับซ้อนขึ้นอย่าง เซต 50 Index Futures ที่เปิดโอกาสให้ทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงลิบลิ่วเช่นกันครับ การลงทุนในตลาดการเงินก็เหมือนกับการเดินทางไกลครับ ยิ่งเครื่องมือที่เราใช้มีความซับซ้อนหรือมีความเร็วสูงเท่าไหร่ เรายิ่งต้องมีความรู้ ความเข้าใจ และความระมัดระวังมากขึ้นเท่านั้นครับ อย่าเพิ่งรีบไปลองขับเครื่องบินเจ็ต ถ้าเรายังขับจักรยานไม่คล่องเลยนะครับ ศึกษา เรียนรู้ และประเมินความเสี่ยงของตัวเองให้ดีก่อนตัดสินใจลงสนามจริงเสมอครับ ขอให้ทุกคนโชคดีกับการเดินทางในโลกการเงินครับ!